คือชื่อพระแสงของ้าวของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เมื่อครั้งศึกยุทธหัตถี(ชนช้าง)กับพระมหาอุปราชาของพม่า
ที่หนองสาหร่าย
ซึ่งครั้งนั้นสมเด็จพระนเรศวรทรงได้รับชัยชนะเหนือพระมหาอุปราชาของพม่า
การศึกครั้งนั้นสมเด็จพระนเรศวรทรงช้างเจ้าพระยาไชยานุภาพ
ส่วนพระมหาอุปราชาทรงช้างพลายพัทธกอ
เมื่อเข้าชนกันพลายพัทธกอได้เปรียบทำให้พระมหาอุปราชาได้จังหวะจึงทรงฟันสมเด็จพระนเรศวรด้วยพระแสงของ้าวเต็มแรง
สมเด็จพระนเรศวรทรงเบี่ยงพระองค์หลบ (เป็นมวย อิอิ) ทำให้พระแสงของ้าวฟันถูกพระมาลา
(ขาดนิดหนึ่ง แสดงถึงความคมของพระแสงของ้าว) พระมาลานั้นถูกเรียกว่าพระมาลาเบี่ยง
เมื่อเจ้าพระยาไชยานุภาพ ช้างทรงของสมเด็จพระนเรศวรได้ทีงัดพลายพัทธกอบ้าง
สมเด็จพระนเรศวรทรงได้จังหวะจึงทรงฟันพระมหาอุปราชาด้วยพระแสงของ้าวเต็มแรง
ทำให้พระมหาอุปราชาขาดสะพายแล่งทันทีสิ้นพระชนม์คาคอช้าง
ส่วนตัวผู้เขียน (กฤษฎา) เคยไปที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ (กรุงเทพฯ)
ไปเห็นข้อง้าวโบราณเข้าน่าจะจำลองจากพระแสงของ้าวของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (นานแล้ว)
เคยไปดูอีกครั้งเมื่อสักห้าปีที่แล้ว น่าเสียดายเขาปิดปรับปรุงส่วนนี้ไป
เลยไม่ได้เห็น
ที่พอจะจำได้ลักษณะคือเหมือนง้าวของกวนอูในสามก๊ก
ไม่เหมือนในละครหรือหนังบางเรื่อง ซึ่งมีขนาดเล็กกว่า
คือน้ำหนักน่าจะมากเมื่อฟันออกไปจึงทำให้ขาดสะพายแล่งได้ ความคมว่ากันว่าตอนลับเสร็จเมื่อเอาเส้นผมวางแล้วเป่าจะขาดทันที
(คมมาก อิอิ) ไม่งั้นตัดพระมาลาไม่ได้เพราะพระมาลาทำจากหนังสัตว์มีความแข็งมาก
ด้ามจับไม่ใช่ด้ามยาว
ๆ อย่างเดียว แต่จะทำเดือยขึ้นสองชิ้นให้มือจับถนัด (มีระยะห่างพอสมควร)
มือขวาจับด้านบนส่วนมือซ้ายจับด้านล่างเมื่อฟันออกไปจะเพิ่มความแรงได้มากขึ้นไปอีก
ส่วนการรบด้วยพระแสงของ้าวน่าจะไม่กี่เพลงเพราะด้วยความหนักและความต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็ว
อย่างในการศึกยุทธหัตถีครั้งนี้ ทรงฟันคนละครั้งก็เห็นผลทันที
นับได้ว่าเป็นเกียรติยศของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และของคนไทยทั้งชาติที่
พระองค์ทรงชนะศึกในครั้งนี้
ซึ่งการทำศึกยุทธหัตถีในระดับพระมหากษัตริย์ มีน้อยมากในประวัติศาสตร์
และถือว่าเป็นเกียรติประวัติอย่างสูงของการรบบนหลังช้าง และที่สำคัญสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงสามารถชนะการศึกในครั้งนี้ได้สำเร็จ