วันอังคารที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2562

เจ้าพระยาแสนพลพ่าย


     คือชื่อพระแสงของ้าวของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เมื่อครั้งศึกยุทธหัตถี(ชนช้าง)กับพระมหาอุปราชาของพม่า ที่หนองสาหร่าย ซึ่งครั้งนั้นสมเด็จพระนเรศวรทรงได้รับชัยชนะเหนือพระมหาอุปราชาของพม่า
     การศึกครั้งนั้นสมเด็จพระนเรศวรทรงช้างเจ้าพระยาไชยานุภาพ ส่วนพระมหาอุปราชาทรงช้างพลายพัทธกอ
เมื่อเข้าชนกันพลายพัทธกอได้เปรียบทำให้พระมหาอุปราชาได้จังหวะจึงทรงฟันสมเด็จพระนเรศวรด้วยพระแสงของ้าวเต็มแรง สมเด็จพระนเรศวรทรงเบี่ยงพระองค์หลบ (เป็นมวย อิอิ) ทำให้พระแสงของ้าวฟันถูกพระมาลา (ขาดนิดหนึ่ง แสดงถึงความคมของพระแสงของ้าว) พระมาลานั้นถูกเรียกว่าพระมาลาเบี่ยง
     เมื่อเจ้าพระยาไชยานุภาพ ช้างทรงของสมเด็จพระนเรศวรได้ทีงัดพลายพัทธกอบ้าง สมเด็จพระนเรศวรทรงได้จังหวะจึงทรงฟันพระมหาอุปราชาด้วยพระแสงของ้าวเต็มแรง ทำให้พระมหาอุปราชาขาดสะพายแล่งทันทีสิ้นพระชนม์คาคอช้าง
     ส่วนตัวผู้เขียน (กฤษฎา) เคยไปที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ (กรุงเทพฯ) ไปเห็นข้อง้าวโบราณเข้าน่าจะจำลองจากพระแสงของ้าวของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (นานแล้ว) เคยไปดูอีกครั้งเมื่อสักห้าปีที่แล้ว น่าเสียดายเขาปิดปรับปรุงส่วนนี้ไป เลยไม่ได้เห็น
     ที่พอจะจำได้ลักษณะคือเหมือนง้าวของกวนอูในสามก๊ก ไม่เหมือนในละครหรือหนังบางเรื่อง ซึ่งมีขนาดเล็กกว่า คือน้ำหนักน่าจะมากเมื่อฟันออกไปจึงทำให้ขาดสะพายแล่งได้ ความคมว่ากันว่าตอนลับเสร็จเมื่อเอาเส้นผมวางแล้วเป่าจะขาดทันที (คมมาก อิอิ) ไม่งั้นตัดพระมาลาไม่ได้เพราะพระมาลาทำจากหนังสัตว์มีความแข็งมาก
     ด้ามจับไม่ใช่ด้ามยาว ๆ อย่างเดียว แต่จะทำเดือยขึ้นสองชิ้นให้มือจับถนัด (มีระยะห่างพอสมควร) มือขวาจับด้านบนส่วนมือซ้ายจับด้านล่างเมื่อฟันออกไปจะเพิ่มความแรงได้มากขึ้นไปอีก
     ส่วนการรบด้วยพระแสงของ้าวน่าจะไม่กี่เพลงเพราะด้วยความหนักและความต้องการผลลัพธ์ที่รวดเร็ว อย่างในการศึกยุทธหัตถีครั้งนี้ ทรงฟันคนละครั้งก็เห็นผลทันที นับได้ว่าเป็นเกียรติยศของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และของคนไทยทั้งชาติที่ พระองค์ทรงชนะศึกในครั้งนี้
     ซึ่งการทำศึกยุทธหัตถีในระดับพระมหากษัตริย์ มีน้อยมากในประวัติศาสตร์ และถือว่าเป็นเกียรติประวัติอย่างสูงของการรบบนหลังช้าง และที่สำคัญสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงสามารถชนะการศึกในครั้งนี้ได้สำเร็จ

วันอาทิตย์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2562

เมื่อสุรกรรมาออกไล่ล่าสมเด็จพระนเรศวร


     
พระแสงปืนต้นข้ามแม่น้ำสะโตงจำลอง จากเว็บผู้จัดการออนไลน์
    
     เมื่อสุรกรรมานายทหารฝีมือดีถูกรับสั่งจากพระมหาอุปราชาอุปราชแห่งพม่าให้ออกไล่ติดตามทัพของสมเด็จพระนเรศวร ซึ่งกำลังกวาดต้อนครัวมอญเพื่อกลับไปฝั่งไทย(อยุธยา)และได้มาทันกันที่แม่น้ำสะโตง
     สมเด็จพระนเรศวรทรงตระหนักว่าจะต้องทรงทำอะไรสักอย่างเพื่อหยุดกองทัพพม่าไม่ให้ติดตามมา เมื่อทางทัพไทยและครัวมอญได้ข้ามฟากมาหมดแล้ว และได้ทำลายสะพานข้ามแม่น้ำสะโตง จึงมีรับสั่งให้หาพระแสงปืนต้นประจำพระองค์ซึ่งมีขนาดยาวมากเข้ามา แล้วทรงประทับยิงไปที่สุรกรรมาแม่ทัพพม่า กระสุนปืนโดนสุรกรรมาตายคาคอช้าง
     เหล่าทหารพม่าเห็นดังนั้นไม่กล้าตามและยกทัพกลับทันที นับได้ว่าเป็นกฤษดาภินิหารของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเลยทีเดียว เพราะแม่น้ำสะโตงค่อนข้างกว้างมาก พระแสงปืนต้นนี้จึงได้ชื่อว่า “พระแสงปืนต้นข้ามแม่น้ำสะโตง”

วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2562

เมื่อลักไวทำมูหาญสู้สมเด็จพระนเรศวร


  
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาพจากเว็บพันทิพ
  
     สืบเนื่องจากวีรกรรมของสมเด็จพระนเรศวรจาก “พระแสงดาบคาบค่าย” จึงทำให้พระเจ้านันทบุเรงของพม่ามีรับสั่งให้ลักไวทำมูนายทหารฝีมือดีซึ่งชำนาญเพลงดาบและเพลงทวนจัดอยู่ในระดับครูฝึกทหารเลยทีเดียว โดยวางแผนให้นำทหารจำนวนน้อยเข้าล่อ ให้พระองค์ได้ตีเมื่อเข้ามาจนถึงที่ลักไวทำมูซุ่มรออยู่
     ลักไวทำมูเข้ามาจะจับพระองค์โดยควบม้าถือดาบเข้าใส่ สมเด็จพระนเรศวรจึงใช้พระแสงทวนแทงสวนใส่ลักไวทำมูทำให้ตายทันที  แต่พระองค์ยังถูกล้อม ต่อมาทหารติดตามได้มาถึง(และมีการต่อสู้กันอยู่พักหนึ่ง)จึงเสด็จกลับพระนคร แสดงให้เห็นว่าการต่อสู้แบบประชิดตัว พระองค์ทรงพระปรีชาสามารถเป็นอย่างยิ่ง
     สมเด็จพระนเรศวรนั้นทรงชำนาญการรบบนหลังม้า ทรงถนัดทั้งพระแสงดาบและพระแสงทวน ประกอบกับทรงมีพระปรีชาญาณในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดียิ่ง จึงนับว่าทรงเป็นพระมหากษัตริย์ยอดนักรบอย่างแท้จริง

อ้างอิงจากวิกิพีเดียสารานุกรมเสรีและข้อมูลในอินเตอร์เน็ต


กรมหลวงโยธาเทพ

กรมหลวงโยธาเทพ ภายหลังออกพระนามว่า สมเด็จพระรูปเจ้า มีพระนามเดิมว่า พระสุดาเทวี (คำให้การชาวกรุงเก่า) หรือ เจ้าฟ้าสุดาวดี (พ.ศ. 2199—2278) เ...