วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2564
โยนกนครไชยบุรีราชธานีศรีช้างแส่น
โยนกนครไชยบุรีราชธานีศรีช้างแส่น หรือ แคว้นโยนก (พ.ศ. ๑๒๐๐–๑๖๕๐) เป็นรัฐของชาวไทยวน ที่ตั้งอยู่แถบลุ่มน้ำโขงตอนกลาง อันเป็นที่ราบลุ่มของน้ำแม่กก เป็นที่ตั้งแหล่งชุมชนที่มีมาอย่างช้านานซึ่งเป็นอาณาจักรแรกของชนชาติไทย ตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. ๑๒๐๐-๑๖๕๐ อาณาจักรโยนก ก็ล่มสลายลงเมื่อเกิดการแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ จึงอพยพย้ายเมืองหลวงมาเป็นเวียงปรึกษาแทน ซึ่งมีเรื่องราวปรากฏอยู่ในตำนานสิงหนติกุมาร (มีหลายชื่อเรียก เช่น ตำนานโยนกนครเชียงแสน ตำนานโยนกนคร ตำนานโยนกไชยบุรีศรีช้างแส่น แล้วแต่ผู้จารจะเขียนกำกับ แต่เนื้อหาคล้ายกันหมด) และตำนานพระธาตุดอยตุง ถ้ำปุ่ม ถ้ำปลา ถ้ำเปลวปล่องฟ้า แต่ยังไม่มีการค้นพบหลักฐานที่เก่าถึงยุคสมัยจริง
ตำนานสิงหนติกุมาร
ตามตำนานสิงหนติกุมาร (ไม่ใช่สิงหนวัติ หรือ สิงหนวติ เพราะไม่ปรากฏในเอกสารใบลานชั้นต้น ซึ่งปรากฏเพียง สิงหนติ) กล่าวว่า เจ้าสิงหนติราชกุมาร โอรสของพระเจ้าเทวกาลแห่งนครไทยเทศ หรือ เมืองราชคฤห์ ได้ทำการอพยพผู้คนออกจากนครไทยเทศ เดินทางไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ จนมาถึงชัยภูมิที่เคยเป็นแคว้นสุวรรณโคมคำในอดีต ไม่ไกลแม่น้ำโขงมากนัก ซึ่งตอนนั้นมีชาวลัวะอาศัยอยู่ตามป่าเขาในบริเวณดอยดินแดน (ดอยตุง) มีหัวหน้าชื่อ ปู่เจ้าลาวกุย เจ้าสิงหนติได้พบกับพญานาคชื่อพันธุนาคราช ซึ่งจำแลงกายเป็นพราหมณ์มาพูดคุย และแนะนำให้สร้างเมืองในที่บริเวณนั้น แล้วกลับเป็นพญานาคช่วยขุดคูเมืองให้ เจ้าสิงหนติจึงตั้งเมืองบริเวณนั้น และนำชื่อตนประสมกับชื่อพญานาคเป็นชื่อเมืองว่า เมืองนาคพันธุสิงหนตินคร จากนั้นเจ้าสิงหนติได้แผ่อำนาจปราบปรามเมืองอุโมงคเสลานคร ซึ่งเป็นเมืองของพวกขอม และมีอำนาจเหนือกลุ่มชนพื้นถิ่นดั้งเดิมในแถบนั้นทั้งหมด ในสมัยพญาพันธนติ กษัตริย์องค์ที่ ๒ ได้เปลี่ยนชื่อเมืองมาเป็น เมืองโยนกนครไชยบุรีราชธานีศรีช้างแส่น โดยเอาเหตุนิมิตเมื่อช้างมงคลของพญาสิงหนติเห็นพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ ก็เกิดการตกใจร้องเสียงดัง "แส่นสะเคียร" (ช้างแส่น คือ ช้างสั่น ส่วน แส่นสะเคียร แปลว่า สั่นสะเทือน เป็นอากัปกิริยาของช้างคำรามเสียงดังสนั่นหวั่นไหว)
ในสมัยพญาอชุตราช กษัตริย์องค์ที่3 ได้มีการสร้างพระธาตุดอยตุง พระธาตุดอยกู่แก้ว พระธาตุในถ้ำปุ่ม ถ้ำเปลวปล่องฟ้า เป็นการสะท้อนให้เห็นว่าเริ่มมีพระพุทธศาสนาเข้ามาแล้ว (ซึ่งเป็นเพียงตำนานเท่านั้น ในปัจจุบันยังไม่ค้นพบหลักฐานที่เก่าถึงยุคสมัยโยนกนคร) สมัยพญามังรายนราช กษัตริย์องค์ที่4 พระองค์ไชยนารายณ์ โอรสองค์สุดท้องของพระองค์ได้ไปตั้งเมืองใหม่ คือ เวียงไชยนารายณ์เมืองมูล (สันนิฐานว่าควรอยู่บริเวณ ปงเวียงไชย บ้านปง ต.เวียงชัย อ.เวียงชัย จ.เชียงราย)
เมืองโยนกนครไชยบุรีราชธานีศรีช้างแส่นมีกษัตริย์ปกครองต่อ ๆ กันมา จนสมัยพระองค์พังคราช กษัตริย์องค์ที่ ๔๒ เสียเมืองให้กับพระยาขอม เมืองอุโมงคเสลานคร และถูกเนรเทศไปเป็นแก่บ้านเวียงสี่ทวง ส่งส่วยให้พระยาขอมเป็นทองคำปีละ ๔ ทวงหมากพินน้อย (คือมะตูมลูกเล็ก) นำมาผ่าซีก ๔ ส่วน นำทองคำหลอมลงไปเพียง ๑ ซีก ที่เวียงสี่ทวง พระองค์พังคราชมีลูกชาย ๒ คน คนโตชื่อ ทุกขิตะกุมาร คนที่ ๒ ชื่อ พรหมกุมาร เมื่อพรหมกุมารอายุได้ ๑๓ ปี จึงมีความคิดที่จะสู้กับพระยาขอม ได้ไปจับช้างที่แม่น้ำโขงและตีพานคำ (พาน อ่านว่าปาน คือเครื่องดนตรีล้านนาชนิดหนึ่ง คล้ายฆ้องแต่ไม่มีโหม่ง ใช้ตี) แห่เข้าเวียงสี่ทวง และทำการขุดคูเมือง ปรับปรุงกำแพงและประตูเมือง แล้วเปลี่ยนชื่อเวียงสี่ทวงเป็น เวียงพานคำ (สันนิษฐานว่าเวียงสี่ทวงและเวียงพานคำควรอยู่บริเวณเมืองโบราณที่เรียกว่าเวียงแก้ว บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ อ.เชียงแสน และเวียงสี่ทวงกับเวียงพานคำไม่ควรอยู่บริเวณเมืองโบราณที่ อ.แม่สาย เพราะตำนานหลายฉบับกล่าวว่าบริเวณนั้นเป็นเมืองหิรัญนครเงินยาง) และทำการซ่องสุมผู้คน สู้รบกับพระยาขอมจนได้รับชนะ ขับไล่พวกขอมและสามารถชิงเมืองโยนกนครไชยบุรีราชธานีศรีช้างแส่นกลับคืนมาได้ ถวายเมืองคืนพระองค์พังคราช ส่วนพระองค์พรหมราช (พรหมกุมาร) ได้กลัวว่าจะมีข้าศึกมาอีก จึงไปสร้างเมืองใหม่ คือ เวียงไชยปราการ (สันนิฐานว่าควรอยู่บริเวณ บ้านร่องห้า (ร่องห้าทุ่งยั้ง) ต.ผางาม อ.เวียงชัย จ.เชียงราย) เมื่อสิ้นพระองค์พรหมราชแล้ว พระองค์ไชยสิริ พระโอรสได้ครองเวียงไชยปราการต่อมา แต่ถูกเมืองสุธรรมวดีเข้ามาคุกคามอีก พระองค์ไชยสิริจึงพาชาวเมืองอพยพลงไปทางใต้ และตั้งเมืองที่เมืองกำแพงเพชร
ส่วนเมืองโยนกนครไชยบุรีราชธานีศรีช้างแส่นนั้น มีกษัตริย์ครองเมืองต่อมา จนถึงสมัยพระองค์มหาไชยชนะ ชาวเมืองจับได้ปลาไหลเผือกยักษ์จากแม่น้ำกก แล้วนำมาแบ่งกันกินทั้งเมืองยกเว้นแม่หม้ายเฒ่าหนึ่งคน และในคืนนั้นเมืองโยนกก็ล่มสลายลงกลายเป็นหนองน้ำใหญ่ ยกเว้นแม่หม้ายเฒ่าเพียงคนเดียวที่รอดตาย (สันนิฐานว่าอาจเกิดแผ่นดินไหวจนเมืองถล่มลง จึงมาผูกเรื่องในตำนาน ปัจจุบันสันนิฐานว่าเวียงโยนกฯอยู่บริเวณเวียงหนองหล่ม ตั้งอยู่ระหว่าง ต.โยนก อ.เชียงแสน กับ ต.จันจว้า อ.แม่จัน จ.เชียงราย) ขุนพันนาและนายบ้านกับประชาชนที่รอดตายจึงรับเลี้ยงดูแม่หม้ายเฒ่า และประชุมปรึกษาเลือกนายบ้านผู้หนึ่ง ชื่อขุนลัง ให้เป็นผู้นำ และช่วยกันสร้างเมืองใหม่ริมฝั่งแม่น้ำโขงฝั่งตะตก และอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองโยนกนครฯ เรียกว่าเวียงเปิกสา (เวียงปรึกษา) ผู้ที่ครองเวียงเปิกสานั้นจะต้องได้รับการปรึกษาคัดเลือกจากประชาชนในเมืองทั้งหมด คล้ายกับแนวทางของระบอบประชาธิปไตย เรียกว่า ไพร่แต่งเมือง รวมเป็นขุนผู้ครองเวียงเปิกสา ๑๖ คน เป็นอันจบตำนานสิงหนติกุมาร
สิงหนติ หรือ สิงหนวัติ
ในประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๖๑ ตำนานสิงหนวติกุมาร เรียกชื่อเจ้าสิงหนติราชกุมารว่า สิงหนวติกุมาร และมีการเผยแพร่และเพี้ยนไปเป็น สิงหนวัติกุมาร และเป็นชื่อที่แพร่หลายใช้ในปัจจุบัน แต่จากการสำรวจและปริวรรตเอกสารใบลานต้นฉบับภาษาล้านนาของตำนานโยนกแล้ว กลับพบว่าเขียนว่า สิงหนติ ไม่พบว่ามีการเขียนชื่อ สิงหนวติ หรือ สิงหนวัติ ในตำนานทุกฉบับ จึงสรุปว่าควรใช้ สิงหนติ ซึ่งเป็นชื่อที่ถูกต้อง
รายพระนามกษัตริย์ผู้ครองเมืองโยนกนครไชยบุรีราชธานีศรีช้างแส่น
พญาสิงหนติ (เจ้าสิงหนติราชกุมาร) เริ่มราชวงศ์เมืองนาคพันธุสิงหนตินคร
พญาพันธติ สถาปนาเมืองโยนกนครไชยบุรีราชธานีศรีช้างแส่น
พญาอชุตราช
พญามังรายนราช (พระองค์มังรายนราช)
พระองค์เชือง
พระองค์ชืน
พระองค์คำ
พระองค์เพิง
พระองค์ชาต
พระองค์เวา
พระองค์แวน
พระองค์แก้ว
พระองค์เงิน
พระองค์แวนที่ ๒ (คนละองค์กับพระองค์แวนในลำดับที่ ๑๐)
พระองค์งาม
พระองค์ลือ
พระองค์รอย
พระองค์เชิง
พระองค์พัน
พระองค์เพา
พระองค์พิง
พระองค์สี
พระองค์สม
พระองค์สวน
พระองค์แพง
พระองค์พวน
พระองค์จัน
พระองค์ฟู
พระองค์ฝัน
พระองค์วัน
พระองค์มังสิง
พระองค์มังแสน
พระองค์มังสม
พระองค์ทิพ
พระองค์กอง
พระองค์กม
พระองค์ชาย
พระองค์ชื่น
พระองค์ชม
พระองค์พัง
พระองค์พิงที่ ๒ (คนละองค์กับพระองค์พิงในลำดับที่ ๒๐)
พระองค์เพียง
พระองค์พัง (พระองค์พังคราช)
พระองค์ทุกขิตะ (เจ้าทุกขิตะกุมาร)
พระองค์พรหมราช (พระเจ้าพรหมมหาราช)
พระองค์มหาไชยชนะ สิ้นสุดราชวงศ์สิงหนติ เมืองโยนกนครไชยบุรีราชธานีศรีช้างแส่นล่มสลาย
(หมายเหตุ รายชื่อกษัตริย์ราชวงศ์สิงหนติ อ้างอิงจากตำนานสิงหนติโยนก ฉบับวัดลำเปิง จ.เชียงราย เป็นหลัก)
ที่มา วิกิพีเดียสารานุกรมเสรีครับ เรียบเรียง by krisda paleeriam ภาพจากเชียงใหม่นิวส์(เวียงหนองหล่ม)
วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2564
เมืองเชียงแสน
เชียงแสน - เมืองก่อนประวัติศาสตร์
พื้นที่ราบลุ่มเชียงแสนและบริเวณข้างเคียงเคยมีมนุษย์เร่ร่อนอยู่อาศัยมาช้านานแล้ว
นับแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์เมื่อครั้งมนุษย์ยังดำรงชีวิตอยู่ในสังคมล่าสัตว์ ต่อเนื่องลงมา
ถึงสังคมเกษตรกรรม หรือราว ๑๕๐๐๐ - ๓๐๐๐๐ ปีมาแล้ว เพราะปรากฏหลักฐานเครื่องมือ
เครื่องใช้มนุษย์กระจัดกระจายอยู่โดยทั่วไปทั้งที่ลาดเนินเขาและริมฝั่งแม่น้ำ
ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๗ - ๑๘ ผู้คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นี้เริ่มรวมตัวกันหนาแน่นขึ้น ก่อตั้งเป็น
ชุมชนเมืองบนที่ลาดเนินเขาหรือที่ตอนริมฝั่งแม่น้ำ เมื่อพุทธศาสนาเริ่มแพร่ขยายเข้ามา
จึงเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ชุมชนเหล่านี้ได้หันมาเอาวัฒนธรรมทางพุทธศาสนา
พร้อมกับการก้าวเข้าสู่ยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
ล่วงมาถึงปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๔ พญาแสนภู กษัตริย์ราชวงศ์มังราย ทรงสร้างเมืองเชียงแสนขึ้น
ในบริเวณหมู่บ้านเล็กๆ ริมฝั่งแม่น้ำโขง เพื่อควบคุมไพร่พลเมือง ผลิตผลทางการเกษตร และ
เส้นทางการค้าของแคว้นโยนก อันเป็นถิ่นฐานดั้งเดิมแห่งบรรพบุรุษของพระองค์ในปี พ.ศ. ๑๘๗๑
ฐานะของเมืองเชียงแสนในระยะแรกมีความสำคัญค่อนข้างสูง เพราะเป็นเมืองลูกหลวงของ
อาณาจักรล้านนา กษัตริย์ราชวงศ์มังรายหลายพระองค์ อาทิ พญาผายู พญาคำฟู และพญากือนา
ต่างเสด็จมาครองเมืองเชียงแสน ก่อนที่จะเสด็จเสวยราชสมบัติ ณ เมืองเชียงใหม่
หลังจากต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๐ ลงมาจนกระทั่งอาณาจักรล้านนาถูกพม่ายึดครองในปี พ.ศ. ๒๑๐๑
ฐานะของเมืองเชียงแสนก็ถูกลดลงเป็นเพียงเมืองสำคัญทางศาสนา และเมืองบริวารของอาณาจักร
กษัตริย์ล้านนามักจะส่งเชื้อพระวงศ์ และขุนนางมาปกครองเมืองแทนพระราชโอรส
ระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๒๒ ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๔ เมืองเชียงแสนกลับกลายเป็นเมืองสำคัญของทาง
ยุทธศาสตร์ที่ควบคุมพื้นที่ทางตอนบนของหัวเมืองฝ่ายเหนือ กษัตริย์พม่าได้ส่งกำลังเข้ามายึดเมืองไว้
ทางฝ่ายกรุงศรีอยุธยาและธนบุรีต้องยกกองทัพมาปราบอยู่หลายครั้ง ล่วงมาปี พ.ศ. ๒๓๔๗
สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้า
กรมหลวงเทพหริรักษ์ และพระยายมราช ยกกองทัพมาขับไล่ชาวพม่าออกจากเมืองเชียงแสนได้สำเร็จ
แล้วมีพระราชดำรัสให้เผาบ้านเมืองกวาดต้อนผู้คนอพยพไปไว้ตามหัวเมืองต่างๆ ในภาคเหนือ และ
ส่งลงมายังกรุงเทพฯ
ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๒๔ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้
เจ้าอินต๊ะ บุตรเจ้าบุญมา เข้าผู้ครองนครลำพูน นำราษฎรเมืองลำพูน เชียงใหม่ และลำปาง ขึ้นมา
ตั้งถิ่นฐาน ณ เมืองเชียงแสน และพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยาราชเดชดำรง ตำแหน่งเจ้าเมือง
เชียงแสน เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๓๘ ท้ายที่สุดเมืองเชียงแสนถูกยุบเป็นกิ่งอำเภอเชียงแสนหลวง ในปี พ.ศ. ๒๔๔๒
และได้ยกฐานะเป็นอำเภอเชียงแสน ขึ้นกับจังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ ๙ เมษายน พ.ศ. ๒๕๐๐
ที่มา .... พิพิธภัณฑ์เชียงแสน ขอบคุณภาพจากเชียงรายโฟกัสดอทคอม(ภาพวัดป่าสัก อ.เชียงแสน จ.เชียงราย)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
กรมหลวงโยธาเทพ
กรมหลวงโยธาเทพ ภายหลังออกพระนามว่า สมเด็จพระรูปเจ้า มีพระนามเดิมว่า พระสุดาเทวี (คำให้การชาวกรุงเก่า) หรือ เจ้าฟ้าสุดาวดี (พ.ศ. 2199—2278) เ...
-
พระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. 1991-2031 ) พระบรมไตรโลกนาถ ทรงครองราชสมบัตินานที่สุดในบรรดากษัตริย์อยุธยา นานถึง 40 ปี และทรงรวมอาณาจักรสุ...
-
สมเด็จพระพระศรีสุธรรมราชา (พ.ศ. 2198 ) สมเด็จพระศรีสุธรรมราชา หรือ สมเด็จพระสรรเพชญที่ 7 ขึ้นครองราชย์หลังสำเร็จโทษสมเด็จเจ้าฟ้าชัย...
-
พระเจ้าทรงธรรม (พ.ศ.2163-2171) พระเจ้าทรงธรรม หรือ พระอินทราชา เสด็จพระราชสมภพ พ.ศ.2133 เมื่อเสวยราชย์นั้น พระชันษาได้ 29 ปี มีพระรา...