วันอังคารที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2560

สมเด็จพระยอดฟ้า

สมเด็จพระยอดฟ้า (พ.ศ.2089-2091)
     สมเด็จพระยอดฟ้าเป็นพระเจ้าลูกยาเธอในสมเด็จพระไชยราชาธิราช ที่ประสูติด้วย ท้าวศรีสุดาจันทร์ (พระสนมเอกลำดับที่ 2) เมื่อ พ.ศ.2078  มีพระอนุชา คือ พระศรีศิลป์ ประสูติ พ.ศ.2083
     ขณะนั้นพระเทียรราชา ซึ่งมีศักดิ์เป็นพระอนุชาของสมเด็จพระไชยราชาธิราช (ประสูติแต่พระสนมเอก) หลังจากพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระไชยราชาธิราชเสร็จแล้ว ได้คิดว่าเห็นจะอยู่ในเพศฆราวาสไม่ได้เสียแล้ว เนื่องจากจะมีภัยมาถึงพระองค์ (เนื่องจากอยู่ในข่ายที่จะได้ขึ้นครองราช) จึงออกไปอุปสมบท ณ วัดราชประดิษฐาน
     สมเด็จพระยอดฟ้าได้ขึ้นครองราชสมบัติต่อจากสมเด็จพระราชบิดา เมื่อปี พ.ศ.2089 มีพระชันษาได้ 11 ปี
     ท้าวศรีสุดาจันทร์ ได้เป็นชู้กับพันบุตรศรีเทพ (ขุนวรวงศา) จนมีครรภ์ด้วยขุนวรวงศา ต่อมาได้ทำพระราชพิธีราชาภิเษกยกขุนวรวงศาธิราชขึ้นเป็นกษัตริย์ โดยอ้างว่าพระยอดฟ้ายังเยาว์นักไม่เหมาะที่จะเป็นพระมหากษัตริย์
     ต่อมาขุนวรวงศา คิดกับท้าวศรีสุดาจันทร์ ให้เอาพระยอดฟ้าไปประหารชีวิตเสียที่วัดโคกพระยา ส่วนพระศรีศิลป์พระชนม์ได้ 7 พรรษาให้เลี้ยงไว้ สมเด็จพระยอดฟ้าอยู่ในราชสมบัติได้ 2 ปี กับ 6 เดือน
     ฝ่ายขุนพิเรนทรเทพ (เชื้อพระวงศ์) ขุนอินทรเทพ หมื่นราชเสน่หา หลวงศรียศ ได้ร่วมปรึกษากันเมื่อเห็นแผ่นดินเป็นเช่นนี้ จึงได้วางแผนกำจัดขุนวรวงศากับท้าวศรีสุดาจันทร์ ในคราวไปจับช้างเผือกที่กรมการเมืองลพบุรีแจ้งมา โดยมีการลอบสังหารอุปราชจัน (น้องชายขุนวรวงศา) ก่อน ซึ่งตอนนั้นเป็นเพลาค่ำ ในแผนให้หมื่นราชเสน่หา (นอกราชการ) แอบซุ่มอยู่ ครั้นเห็นมหาอุปราชขี่ช้างจะไปเพนียด หมื่นราชเสน่หาก็ยิงปืนถูกมหาอุปราชตกช้างตาย
     ครั้นเช้าตรู่ ขุนวรวงศากับท้าวศรีสุดาจันทร์ และราชบุตรที่เกิดด้วยกัน รวมทั้งพระศรีศิลป์ก็ลงเรือพระที่นั่งลำเดียวกันมาตรงคลองสระบัว เหตุการณ์ต่อจากนี้ได้มีการบันทึกไว้ว่า

     ฝ่ายขุนอินทรเทพให้พายเรือกระหนาบเรือพระที่นั่ง ขึ้นมาแล้วช่วยกันกลุ้มรุมจับขุนวรวงศาธิราชกับแม่อยู่หัวเจ้าศรีสุดาจันทร์ และบุตรซึ่งเกิดด้วยกันนั้นฆ่าเสีย แล้วให้เอาศพไปเสียบประจานไว้ ณวัดแร้ง แต่พระศรีศิลป์นั้นเอาไว้ ขุนวรวงศาธิราชอยู่ในสมบัติห้าเดือน

วันจันทร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2560

สมเด็จพระไชยราชาธิราช

สมเด็จพระไชยราชาธิราช (พ.ศ.2077-2089)
     สมเด็จพระไชยราชาธิราช เป็นพระเจ้าลูกเธอของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 (พระเชษฐา) อันเกิดแต่พระแม่ยั่วเมือง (อันดับสองรองจากพระอัครมเหสี) ก่อนหน้านั้นครองเมืองพิษณุโลก
     ในรัชสมัยของพระไชยราชาธิราช พม่าเข้มแข็งเกรียงไกรมาก กษัตริย์ของพม่าทรงพระนามว่า พระเจ้าตะเบ็งชเวตี้ มีขุนศึกสำคัญคือ บุเรงนอง ได้ร่วมกันทำสงครามแผ่พระราชอาณาจักรให้กว้างขวางยิ่งใหญ่
     หลังจากตีเมืองหงสาวดีแตก จึงย้ายเมืองจากตองอูมาหงสาวดี ซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์มากกว่า แล้วเรียกพระองค์ว่า พระเจ้าหงสาวดีตะเบงชะเวตี้
     หลังจากนั้น พระเจ้าตะเบงชะเวตี้ ได้ยกทัพไปตีเมืองเมาะตะมะ เมื่อได้เมืองเมาะตะมะแล้ว จึงยกทัพไปตีเมืองเชียงกรานต่อ สมเด็จพระไชยราชาธิราช จึงเสด็จยกทัพหลวงไปรบพม่า และได้ตีกองทัพพม่าแตกพ่ายไป เมืองเชียงกรานจึงยังอยู่กับไทย (มีกองทัพโปรตุเกสเข้าร่วมรบ 120 คน ซึ่งชำนาญการใช้ปืนไฟ)

     สมเด็จพระไชยราชาธิราชได้เมืองเชียงใหม่ พ.ศ. 2088 และได้ขึ้นไปอีกครั้งปี พ.ศ. 2089 หลังจากยกทัพหลวงเสด็จกลับคืนกรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ. 2089 สมเด็จพระไชยราชาธิราชก็สวรรคต มีรายละเอียดอยู่ว่า ครั้งเสด็จไปสงครามเชียงใหม่ ทรงมีพระราชโองการแต่งตั้ง ท้าวศรีสุดาจันทร์เป็นผู้สำเร็จราชการ ระหว่างนั้นพระนางมีชู้จนตั้งครรภ์ขึ้น ด้วยกลัวความผิด เมื่อพระไชยราชาธิราชเสด็จกลับถึงกรุงศรีอยุธยา นางจึงเอายาพิษผสมนมโค ให้เสวย พระองค์ทรงพระประชวรอยู่ 5 วัน หลังจากมอบราชสมบัติให้พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ คือ พระยอดฟ้าแล้วจึงสวรรคต ทรงครองราชสมบัติได้ 12 ปี

วันอาทิตย์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2560

สมเด็จพระรัฏฐาธิราชกุมาร

สมเด็จพระรัฏฐาธิราชกุมาร (พ.ศ.2076)

     สมเด็จพระรัฏฐาธิราชกุมาร เป็นราชโอรสของสมเด็จพระบรมราชาหน่อพุทธางกูร ขึ้นครองราชย์ภายหลังการสวรรคตของพระราชบิดา ขณะพระชันษา 5 ขวบ พระรัฏฐาธิราชครองราชสมบัติอยู่ได้ 5 เดือน พระไชยราชาธิราชจับสำเร็จโทษเสีย

วันอังคารที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2560

สมเด็จพระบรมราชาหน่อพุทธางกูร

สมเด็จพระบรมราชาหน่อพุทธางกูร (พ.ศ.2072-2076)

     สมเด็จพระบรมราชาหน่อพุทธางกูร (สมเด็จพระอาทิตยวงศ์) เป็นพระราชโอรสในสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 เกิดแต่สมเด็จพระอัครมเหสี ครองราชย์ได้เพียง 4 ปี ได้ประชวรทรพิษสวรรคต เมื่อปี พ.ศ. 2076

สมเด็จพระบรมราชาหน่อพุทธางกูล รับบทโดยสุเชาว์ พงษ์วิไล ภาพจากเว็บพันทิพ(จากภาพยนตร์สุริโยทัย)

วันจันทร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2560

สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2

สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 (พ.ศ.2034-2072)

     สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 (พระเชษฐา) ทรงเป็นพระราชโอรสของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ลำดับที่ 3 (ลำดับที่ 2 คือพระอินทราชา ต้องปืนที่พระพักตร์ครั้งรบกับหมื่นนคร คราวสงครามเชียงใหม่)
     เสด็จมาเสวยราชสมบัติที่กรุงศรีอยุธยาเมื่อพระชันษาได้ 19 ปี หลังการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 เหตุการณ์สำคัญในรัชกาลนี้คือ ทรงสร้างพระมหาสถูปบรรจุพระอัฐิธาตุสมเด็จพระราชบิดาและสมเด็จพระบรมราชาธิราชพระเชษฐา รวมสององค์
     ทรงสร้างพระพุทธรูปศรีสรรเพชญ (พระพุทธรูปยืน) ขนาด สูงแปดวา หล่อแล้วหุ้มด้วยทองคำหนักถึง 286 ชั่ง ทำอยู่นาน 3 ปีจึงเสร็จ ต่อมามีการค้าขายกับโปรตุเกสเป็นชาติแรก พ.ศ. 2061

     สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 สวรรคตเมื่อปี พ.ศ. 2072 พระชนมายุ ได้ 57 พรรษา ทรงครองราชสมบัตินานถึง 38 ปี

วันอาทิตย์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2560

สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3

สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 (พ.ศ.2031-2034)

     สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 (พระบรมราชา) ทรงเป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ เมื่อสมเด็จพระราชบิดาขึ้นไปครองเมืองพิษณุโลก  จึงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมราชาครองกรุงศรีอยุธยาอย่างเป็นเจ้าประเทศราช

     เมื่อสมเด็จพระราชบิดาเสด็จสวรรคตที่พิษณุโลก พระองค์จึงเสด็จขึ้นครองราชย์ โดยประทับที่กรุงศรีอยุธยามิได้เสด็จขึ้นไปประทับที่พิษณุโลก ทรงครองราชย์อยู่ 3 ปี สวรรคตปี พ.ศ.2034

วันเสาร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2560

พระบรมไตรโลกนาถ

พระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ.1991-2031)

     พระบรมไตรโลกนาถ ทรงครองราชสมบัตินานที่สุดในบรรดากษัตริย์อยุธยา นานถึง 40 ปี และทรงรวมอาณาจักรสุโขทัยเข้ากับอาณาจักรอยุธยาได้สำเร็จ
     พระบรมไตรโลกนาถ ประสูติเมื่อ พ.ศ.1974 ทรงเป็นโอรสของเจ้าสามพระยา พระมารดาเป็นเจ้าหญิงจากราชวงศ์สุโขทัย ถูกส่งให้ไปครองเมืองพิษณุโลก เมื่อพระชนมายุ 7 พรรษา ขึ้นครองราชสมบัติเมื่อปี พ.ศ.1991 หลังจากพระราชบิดาสวรรคต ขณะนั้นพระชนมายุได้ 17 พรรษา
     ในสมัยของพระองค์ทรงย้ายเมืองหลวงจากอยุธยามาที่พิษณุโลกชั่วคราว เมื่อ พ.ศ. 2006-2031 เพื่อปกครองและป้องกันอาณาจักรสุโขทัยจากทางอาณาจักรล้านนา พระองค์ได้ปฏิรูปการปกครอง ทรงฝักไฝ่ในพระพุทธศาสนา เช่นการบูรณะฟื้นฟูวัด ทรงออกผนวช 8 เดือน ทรงสร้างพระปรางค์ที่วัดจุฬามณี สร้างวัดพระศรีสรรเพชร และสร้างพระที่นั่งสรรเพชญปราสาท ทรงวางรากฐานกฎมนเทียรบาลการสืบราชสันตติวงศ์

     พระบรมไตรโลกนาถ เสด็จสวรรคตเมื่อปี พ.ศ.2031อยู่ในราชสมบัตินาน 40 ปี พระชนมายุได้ 57 พรรษา

วันศุกร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2560

พระบรมราชาธิราชที่ 2

พระบรมราชาธิราชที่ 2 (พ.ศ.1967-1991)

          พระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) ทรงเป็นโอรสของพระอินทราชาธิราชที่ 1 ได้ครองราชสมบัติเนื่องจาก เจ้าอ้ายพระยากับเจ้ายี่พระยาชนช้างกันเพื่อชิงราชสมบัติ ว่ากันว่าเจ้าอ้ายพระยากับเจ้ายี่พระยาทั้งสองพระองค์ทรงมีพระราชมารดาคนละองค์กัน การชนช้างเกิดขึ้นดังนี้
     เจ้าอ้ายพระยามาตั้งที่ ต.ป่ามะพร้าว วัดพลับพลาไชย เจ้ายี่พระยามาตั้ง ณ วัดไชยภูมิ ช้างต้นมาปะทะกันที่เชิงสะพานป่าถ่าน ทั้งสองพระองค์ทรงพระแสงของ้าว ต้องพระศอขาดพร้อมกันทั้งสองพระองค์
     เจ้าสามพระยาให้ขุดเอาพระศพเจ้าอ้ายพระยา เจ้ายี่พระยา ไปถวายพระเพลิง บริเวณที่ถวายพระเพลิงให้สถาปนาวัดราชบูรณะ และบริเวณที่ชนช้างให้ก่อเจดีย์ 2 องค์ไว้ที่เชิงสะพานป่าถ่าน

พระบรมราชาธิราชที่ 2

     พระอัครมเหสี ของเจ้าสามพระยา คือ ราชธิดาของพระมหาธรรมราชาที่ 4 แห่งกรุงสุโขทัย พระราชโอรส คือ พระอินทราชา และพระราเมศวร
     เมื่อพระบรมราชาธิราชที่ 2 เสด็จขึ้นครองราชสมบัติแล้ว โปรดให้พระอินทราชาขึ้นไปครองเมืองสรรค์ และโปรดให้พระราเมศวรไปครองเมืองพิษณุโลก ซึ่งพระราเมศวรได้รับการสถาปนาให้เป็นพระมหาอุปราชด้วย
     ในรัชกาลของพระองค์ ยกกองทัพไปตีได้กัมพูชา โปรดให้พระอินทราชาเสด็จไปครองเมือง แล้วไปสวรรคตที่นั่น ต่อมายกกองทัพไปตีเมืองเชียงใหม่สองครั้ง ครั้งแรกทรงพระประชวรจึงต้องเสด็จกลับ ครั้งที่สองได้เชลยมาแสนกว่า แต่ตีเชียงใหม่ไม่แตก

     เจ้าสามพระยาอยู่ในราชสมบัติ 24 ปี สวรรคตเมื่อปี พ.ศ. 1991

(ขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

วันพฤหัสบดีที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2560

สมเด็จพระอินทราชาที่ 1

สมเด็จพระอินทราชาที่ 1 (พ.ศ.1952-1967)

     พระอินทราชาทรงเป็นพระเจ้าหลานเธอของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 ซึ่งอยู่ครองเมืองสุพรรณบุรี ได้ยกทัพมายึดกรุงศรีอยุธยาเอาไว้ได้ เมื่อพระนครอินทร์ได้ราชสมบัติแล้วให้พระเจ้ารามไปครองเมืองปทาคูจาม
     ดังนั้นราชวงศ์สุพรรณภูมิจึงได้กลับมาอีกครั้ง ทรงมีพระราชโอรส 3 พระองค์ คือ
     1. เจ้าอ้ายพระยา โปรดให้ไปครองเมืองสุพรรณบุรี
     2. เจ้ายี่พระยา     โปรดให้ไปครองเมืองสรรค์
     3. เจ้าสามพระยา โปรดให้ไปครองเมืองชัยนาท
     พระอินทราชาทรงครองราชอยู่ 15 ปี สวรรคตปี พ.ศ.1967

วันพุธที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2560

พระรามราชาธิราช

พระรามราชาธิราช (พ.ศ.1938-1952)


     พระรามราชาธิราช ทรงเป็นโอรสของพระราเมศวร ได้ขึ้นครองราชสมบัติต่อจากพระราชบิดา นับเป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์อู่ทอง พระรามราชาธิราชอยู่ในราชสมบัติ 14 ปี

วันจันทร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2560

พระราเมศวรครั้งที่ 2

พระราเมศวร ครั้งที่ 2 (พ.ศ.1931-1938)


      พระราเมศวรได้ขึ้นครองราชย์ เป็นครั้งที่สอง สมัยของพระองค์มีการขยายอาณาจักรอยุธยา โดยได้รบกับเมืองเชียงใหม่และตีได้เมืองเชียงใหม่ และตีกัมพูชาได้เป็นครั้งที่สอง พระราเมศวรอยู่ในราชสมบัติ 7 ปี และสวรรคตเมื่อ พ.ศ. 1938

วันอาทิตย์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2560

พระเจ้าทองลัน

พระเจ้าทองลัน (พ.ศ.1931)


     พระเจ้าทองลันทรงเป็นพระราชโอรสของพระบรมราชาธิราชที่ 1 ขึ้นเป็นกษัตริย์แทนสมเด็จพระราชบิดาได้เพียง 7 วัน ขณะอายุได้ 15พรรษา เมื่อพระราเมศวรทรงทราบข่าวว่า พระเจ้าทองลันได้ครองราชสมบัติสืบต่อ จึงยกไพร่พลจากเมืองลพบุรีลงมายังกรุงศรีอยุธยา และได้สำเร็จโทษพระเจ้าทองลัน ทรงขึ้นเป็นกษัตริย์แทน

วันเสาร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2560

พระบรมราชาธิราชที่ 1

พระบรมราชาธิราชที่ 1 (พ.ศ.1913-1931)

     พระบรมราชาธิราชที่ 1 หรือขุนหลวงพระงั่ว ในสมัยพระเจ้าอู่ทองสถาปนากรุงศรีอยุธยา ได้สถาปนาขุนหลวงพระงั่วขึ้นเป็นสมเด็จพระบรมราชาธิราช และโปรดให้ไปครองเมืองสุพรรณบุรี
     พระองค์ทรงเป็นต้นราชวงศ์สุพรรณภูมิ ทรงเป็นพี่ชายของพระมเหสีพระเจ้าอู่ทอง ทรงเป็นกษัตริย์นักรบ และทรงเป็นกำลังสำคัญในการชนะศึกกัมพูชาในสมัยพระเจ้าอู่ทอง
     ในสมัยของพระองค์ได้ทำสงครามกับทางเหนือหลายครั้งเพื่อขยายอาณาเขต และสามารถเอาชนะกรุงสุโขทัยในสมัยของ พระมหาธรรมราชาที่ 2 ได้สำเร็จ

     พระบรมราชาธิราชที่ 1 สวรรคตเมื่อปี พ.ศ.1931อยู่ในราชสมบัติ 18 ปี

วันพฤหัสบดีที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2560

พระราเมศวร

พระราเมศวร (พ.ศ.1912-1913)

     พระราเมศวรทรงเป็นโอรสของพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) เสวยราชสมบัติต่อจากพระราชบิดา แต่ครองราชสมบัติได้ประมาณ 1 ปี ขุนหลวงพระงั่วได้ยกทัพใหญ่จากเมืองสุพรรณบุรี หมายจะยึดเอาราชสมบัติ สมเด็จพระราเมศวรเห็นจะสู้ไม่ได้แน่จึงยอมยกราชสมบัติให้ขุนหลวงพะงั่ว

      แล้วพระราเมศวรจึงเสด็จกลับไปครองเมืองลพบุรีตามเดิม และอยู่ที่ลพบุรีถึง 18 ปี

วันอังคารที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2560

พระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา

พระเจ้าอู่ทอง (พศ.1893-1912)

     พระเจ้าอู่ทอง (พระรามาธิบดีที่ 1) ทรงเป็นกษัตริย์องค์แรกแห่งอาณาจักรอยุธยา เป็นผู้สถาปนาอยุธยาเมื่อปี พ.ศ.1893 พระเจ้าอู่ทองทรงเป็นต้นราชวงศ์อู่ทอง พระเจ้าอู่ทองประสูติเมื่อพ.ศ.1857 
     ทรงมีเหสี 3 พระองค์ คือ องค์หนึ่งเป็นเจ้าหญิงละโว้ อีกองค์เป็นเจ้าหญิงสุพรรณบุรี และอีกองค์เป็นเจ้าหญิงจากกำแพงเพชร โอรสของพระองค์คือ พระราเมศวร ครองเมืองลพบุรี พระมาตุลา (ลุง) ของพระราเมศวรคือ ขุนหลวงพระงั่ว ครองเมืองสุพรรณบุรี
     พระเจ้าอู่ทองจึงรวบรวมเอาอโยธยา ลพบุรี และสุพรรณบุรี สถาปนาอยุธยาขึ้นมาเป็นอีกอาณาจักรหนึ่ง การที่พระเจ้าอู่ทองทรงเลือกอยุธยาเป็นเมืองหลวงเพราะ พื้นที่อุดมสมบูรณ์คือทำนาข้าวได้ผลผลิตดี และสามารถควบคุมทางออกติดกับทะเล สามารถค้าขายกับต่างประเทศได้
     การขยายอาณาเขต ทำสงครามพิชิตกัมพูชา เชียงใหม่ สุโขทัย นครศรีธรรมราช เป็นต้น บางครั้งใช้ความสัมพันธ์ทางเครือญาติในการรวบรวมอาณาจักร เช่น สุโขทัย พระเจ้าอู่ทองสวรรคตเมื่อพระชนมายุได้ 55 พรรษาในปี พ.ศ.1912 ภายหลังการได้รับชัยชนะเหนือกัมพูชา อยู่ในราชสมบัติ 19 ปี

     

กรมหลวงโยธาเทพ

กรมหลวงโยธาเทพ ภายหลังออกพระนามว่า สมเด็จพระรูปเจ้า มีพระนามเดิมว่า พระสุดาเทวี (คำให้การชาวกรุงเก่า) หรือ เจ้าฟ้าสุดาวดี (พ.ศ. 2199—2278) เ...