วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

คนจีนในสยาม

สมัยกรุงศรีอยุธยา อิทธิพลของจีนมีบทบาทมายาวนานต่อเนื่อง แม้ล่วงเลยมาถึงสมัยกรุงศรีอยุธยาก็ยังปรากฏให้เห็น ดังเช่นต้นสมัยกรุงศรีอยุธยามีหลักฐานเป็นเอกสารของจีนพบว่ามีเจ้านครอินทร์เชื้อสายสุพรรณภูมิได้เดินทางไปเมืองจีนหลายครั้ง และได้กล่าวถึงเอี้ยวลกควรอิมที่ได้ไปเมืองจีน ซึ่งก็คือเจ้านครอินทร์นั่นเอง (กษัตริย์พระองค์ที่ ๖ แห่งกรุงศรีอยุธยา) ในรัชสมัยขุนหลวงพระงั่ว เจ้านครอินทร์ (พระราชนัดดา) ทรงมีพระปรีชาสามารถในด้านการค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการค้าขายกับเมืองจีนอย่างต่อเนื่องเสมอมา ได้เสด็จไปเมืองจีนหลายครั้งตั้งแต่ยังไม่ทรงครองราชย์จนตลอดรัชสมัยของพระองค์ ในรัชสมัยของพระองค์ถือเป็นยุคทองทางการค้ายุคต้นของกรุงศรีอยุธยา พระองค์ทรงส่งคณะราชทูตกับทั้งเรือสินค้าไปค้าขายกับเมืองจีนถึง ๑๔ ครั้ง เจ้านครอินทร์ได้นำช่างทำเครื่องปั้นดินเผาจากจีนมาสยาม พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกที่เสด็จไปเมืองจีนด้วยพระองค์เอง ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น บางกอก (กรุงเทพฯ) เป็นชุมนุมใหญ่ต่อมามีฐานะเป็นเมือง โดยมีเจ้าเมืองเป็นผู้ดูแลฝั่งบางกอกและฝั่งธนบุรี ซึ่งขณะนั้นยังเป็นแผ่นดินเดียวกัน เพราะลำน้ำเจ้าพระยาสายเก่าไหลลงมาเข้าคลองบางกอกน้อยแล้วออกคลองบางกอกใหญ่ จนในปี พ.ศ. ๒๐๘๕ สมเด็จพระไชยราชาธิราช โปรดฯ ให้ขุดคลองลัด ทำให้ย่นระยะทางตั้งแต่บริเวณปากคลองบางกอกน้อยไปจรดปากคลองบางกอกใหญ่ หรือปัจจุบันจากหน้าสถานีรถไฟบางกอกน้อยถึงบริเวณวัดอรุณฯ ทำให้แม่น้ำเจ้าพระยาเปลี่ยนทิศทางกระแสน้ำไหลลัดตัดตรงจนคลองลัดขยายกว้างกลายเป็นแม่น้ำเจ้าพระยาสายใหม่ ตลอดสมัยกรุงศรีอยุธยาศูนย์กลางชุมชนย้ายทิศทางมาอยู่ฝั่งวัดอรุณฯ จนถึงวัดระฆังฯ ขณะเดียวกันฝั่งตรงข้ามบริเวณพระบรมมหาราชวังในปัจจุบันมีชาวจีนและชาวสยามมาตั้งบ้านเรือนอยู่อาศัยและทำมาค้าขาย ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายมีวัดสำคัญเกิดขึ้นในบางกอก ได้แก่วัดสลัก (วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤฤษฏ์ฯ) และวัดโพธิ์ (วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามฯ) หรือในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง และสมัยสมเด็จพระนารายณ์ การค้าขายมีความเจริญรุ่งเรืองมากขึ้น มีการจัดเรือสำเภาหลวงออกไปติดต่อค้าขายกับจีน ในยุคสมัยนี้มีจำนวนชาวจีนอพยพเพิ่มจำนวนขึ้น ช่วยให้ธุรกิจการค้าในราชอาณาจักรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีการสนับสนุนพ่อค้าชาวจีนในสยาม พ่อค้าชาวจีนยุคบุกเบิกเข้ามามีบทบาทสำคัญในสยาม ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีนทำให้มีชุมชนชาวจีนในสยามมากขึ้น นับแต่ยุคแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์ การค้าขายทางเรืออยู่ในการควบคุมของชาวจีนเป็นหลัก ในสมัยกรุงศรีอยุธยามีกองกำลังอาสาชาวจีนช่วยออกรบทำศึกสงครามโดยเสมอมา พระมหากษัตริย์ทรงไว้วางพระราชหฤทัยให้ชาวจีนมารับราชการเป็นจำนวนมาก มีหัวหน้าชาวจีนที่มีหน้าที่ควบคุมดูแลชาวจีน โดยดำรงตำแหน่งเป็นเจ้ากรมท่าซ้าย มีบรรดาศักดิ์ที่โชฎึกราชเศรษฐี ชาวจีนได้ได้ร่วมรบและปกป้องชาติบ้านเมืองจนถึงคราวกรุงแตกครั้งที่ ๒ ชาวจีนได้อพยพเข้ามาส่วนมากมาจากตอนใต้ของประเทศจีน เพื่อมาตั้งรกรากปลูกบ้านเรือนและทำการค้า ในอดีตชาวจีนตั้งบ้านเรือนอยู่หนาแน่นบริเวณวัดพนัญเชิง และริมฝั่งน้ำตรงข้ามวัดพนัญเชิง ปัจจุบันอาศัยหนาแน่นอยู่บริเวณหัวรอ ตลาดเจ้าพรหม ส่วนใหญ่เป็นจีนแต้จิ๋วและจีนไหหลำ ตระกูลเก่าที่มีบทบาทในอยุธยาในปัจจุบันคือ แซ่เบ้ (จีนแต้จิ๋ว) เปลี่ยนนามสกุลมีคำว่า อัศวนำหน้า แซ่ด่าน (จีนไหหลำ) เปลี่ยนนามสกุลมีคำว่า ด่านนำหน้า อาชีพของชาวจีนเหล่านี้ เช่น ธุรกิจโรงเลื่อยไม้ การต่อเรือ เป็นต้น คนจีนเหล่านี้ได้รวมตัวกันเป็นสมาคม ชมรม มูลนิธิช่วยเหลือด้านสาธารณกุศลในอยุธยา เรื่องจากหนังสือต้นตำนานลูกหลานจีนในสยาม โดยกิตติ โล่เพชรัตน์เรียบเรียง by krisda paleeriamภาพจากเว็บไทยทิคเก็ตเมเจอร์ด็อทคอม

วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

พระชาติกำเนิดพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงเป็นพระโอรสในสเด็จพระปฐมบรมมหาชนก ทรงพระนามว่าหลวงพินิจอักษร (ทองดี) และพระมารดาดาวเรือง (บางแห่งว่าหยก) ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททองเป็นพระประมุขของชาติไทย ในตอนนั้นประเทศไทยยังมีกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีอยู่ พระองค์มีพระราชโอรสพระองค์หนึ่งมีพระนามว่า เจ้าฟ้านารายณ์ราชกุมาร แต่เจ้าฟ้าพระองค์นี้ทรงสูญเสียพระราชมารดาไป เมื่อพระองค์ประสูติได้เพียง 9 วันเท่านั้น ก็โดยเหตุนี้ก็ต้องมีพระแม่นมเพื่อถวายพระอารักขา จึงพระเจ้าปราสาททองผู้ราชบิดาจำต้องจัดหามาถวาย พร้อมทั้งทรงสร้างวังให้เป็นที่ประทับด้วย ทั้งพระนมกับพระราชโอรส วังที่สร้างขึ้นใหม่นี้อยู่ริมวัดดุสิตารามนอกกำแพงพระนคร แล้วก็ทรงขนานนามพระนมองค์นี้ว่า เจ้าแม่วัดดุสิต เจ้าฟ้านารายณ์ราชกุมารทรงรักใคร่พระนมมาก ตรัสเรียกเสมอด้วยพระราชมารดามาจนตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ เจ้าแม่วัดดุสิตมีบุตรชาย 2 คน ๆ โตชื่อเหล็ก คนเล็กชื่อปาน คนที่ชื่อปานนี้ ต่อมารับราชการฝ่ายพลเรือนจนเป็นใหญ่เป็นโตในรัชสมัยของ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช และมีบุตรชายคนใหญ่สืบสกุลต่อมา ชื่อนายขุนทอง ๆ ก็รับราชการในแผ่นดินพระพุทธเจ้าเสือ จนได้เป็นที่พระยารัษฎาเรืองเดชในเบื้องแรก และได้บรรดาศักดิ์สูงสุดในภายหลัง เป็นเจ้าพระยาวรวงศาธิราช มีตำแหน่งเสนาบดีกรมพระคลัง บุตรของเจ้าพระยาท่านนี้มีหลายคน คนที่ชื่อทองคำนั้นรักทำราชการอยู่ ท่านบิดาก็สนับสนุนให้เป็นมหาดเล็กในกรมพระราชวังบวรเจ้าฟ้าเพชร มีบรรดาศักดิ์เป็นจมื่นมหาสนิท ครั้นเมื่อกรมพระราชวังบวรเจ้าฟ้าเพชรเสด็จขึ้นครองราชย์ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ ก็โปรดฯเลื่อนจมื่นมหาสนิทเป็นพระยาราชนิกูลปลัดทูลฉลองมหาดไทย ท่านพระยาฯ ก็มีบุตรชายคนหนึ่งชื่อว่าทองดี เมื่อโตขึ้นและผ่านการศึกษาเล่าเรียนมาแล้ว ก็เข้ารับราชการสนองพระเดชพระคุณเป็นเสมียนตราในกรมมหาดไทย และมีบรรดาศักดิ์ เป็นหลวงพินิจอักษร คุณหลวงพินิจอักษรได้สมรสกับสุภาพสตรีสูงศักดิ์คนหนึ่งชื่อดาวเรือง คุณหลวงกับภริยา มีนิวาสสถานอยู่ภายในกำแพงเมืองตรงหลังป้อมเพชร สามีภรรยาคู่นี้เลื่อมใสในพระบวรพุทธศาสนายิ่งนัก ท่านได้สร้างวัดไว้วัดหนึ่งใกล้ ๆ บ้านของท่านชื่อว่า “วัดทอง” นี่ย่อมแสดงให้เห็นว่า ตระกูลนี้มั่งคั่งมีหน้ามีตามาก และมีศรัทธาปสาทะในพุทธศาสนาอย่างแท้จริง คุณหลวงพินิจอักษรกับคุณนายดาวเรืองศรีภรรยา มีบุตรธิดาร่วมกัน 5 คน เป็นชาย 3 คน เป็นหญิง 2 คน คนที่ 1 เป็นหญิงชื่อ สา (ต่อมา) ได้รับสถาปนาเป็น พระเจ้าพี่นางเธอ กรมสมเด็จพระเทพสุดาวดี คนที่ 2 เป็นชายชื่อ ขุนรามณรงค์ (ท่านผู้นี้ถึงแก่กรรมก่อนที่จะเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่าเป็นครั้งที่ 2) คนที่ 3 เป็นหญิงชื่อ แก้ว (ต่อมา) ได้รับสถาปนาเป็น พระเจ้าพี่นางเธอ กรมสมเด็จพระศรีสุดารักษ์ คนที่ 4 เป็นชายชื่อ ทองด้วง (คือ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์) คนที่ 5 เป็นชายชื่อ บุญมา (ต่อมาได้รับสถาปนาเป็น กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท สมเด็จพระอนุชาธิราช) เหตุการณ์ก่อนพระราชสมภพ เมื่อคุณนายดาวเรืองตั้งครรภ์ครั้งที่ 4 และใกล้จะคลอดนั้น เจ้าฟ้านเรนทร์กรมขุนสุเรนทรพิทักษ์ทรงผนวชอยู่ ได้เสด็จมาเยี่ยมในฐานะที่คุ้นเคยกันมา คุณหลวงก็ทูลขอน้ำมนต์สะเดาะเพื่อให้ทารกคลอดง่าย เจ้าฟ้าพระก็ประทานให้เพราะทรงเมตตา อีกไม่นานนักก็ถึงวันครบกำหนดคลอด และก็คลอดทารกเป็นชายอย่างง่ายดายในวันนั้น ซึ่งตรงกับวันพุธที่ 20 มีนาคม เดือนยี่ แรมห้าค่ำ ปีมะโรง อัฐศก จุลศักราช 1098 ( พ.ศ.2278) จากหนังสือพระวีรประวัติ 9 รัชกาลแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ โดยสิงห์ สรชัยภาพจากวิกิพีเดีย

นายสุดจินดา

นายสุดจินดา หรือ กรมพระราชวังบวรแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (สมัย ร.1) ได้เป็นแขนขวาของเจ้าตาก ในการกู้อิสรภาพของไทย ครั้นเมื่อกู้อิสรภาพได้แล้ว ก็กลับเป็นแขนซ้าย โดยมีพี่ชายคือ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เข้าเป็นแขนขวาแทน นายสุดจินดาเกิดเมื่อพุทธศักราช 2286 อายุอ่อนกว่าเจ้าตาก 9 ปี รับราชการในกรุงศรีอยุธยา ได้บรรดาศักดิ์เป็นนายสุดจินดา เมื่อได้มาอยู่กับเจ้าตากแล้วก็ได้เลื่อนยศเป็นพระมหามนตรี พระยาอนุชิตราชา พระยายมราช และเจ้าพระยาสุรสีห์พิษณุวาธิราช โดยลำดับ การรับราชการในเบื้องต้น นายสุดจินดาขึ้นหน้าพี่ชาย (คือสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ) โดยได้เป็นแม่ทัพก่อน ได้เป็นเจ้าพระยาก่อน และได้เป็นผู้สำเร็จราชการพิษณุโลก ซึ่งเป็นตำแหน่งสำคัญเท่ากับมหาอุปราช เป็นผู้มีความเพียรแรงกล้า และเป็นตัวอย่างของความเข้มแข็ง เจ้าตากเองก็ทรงรักดังราชบุตร เรียกพระองค์ว่า “พ่อ” เสมอในเวลาที่รับสั่งกับท่านผู้นี้ เมื่อครั้งเป็นเจ้าพระยาสุรสีห์ เคยทำผิดพลาดถึงถูกเฆี่ยนหลัง เจ้าตากทรงเฆี่ยนด้วยพระองค์เองประหนึ่งพ่อเฆี่ยนลูก ไม่ได้ให้คนอื่นเฆี่ยน นายสุดจินดาได้เข้ามารับราชการกับเจ้าตาก เกิดจากหลวงยกกระบัตร เมืองราชบุรีผู้พี่แนะนำ หลวงยกกระบัตรทราบว่าเวลานี้มารดาของเจ้าตากกับเจ้าตากยังพลัดพรากกันอยู่ เจ้าตากกำลังติดธุระอยู่ทางจันทบุรี แต่มารดาเจ้าตากอยู่ที่เพชรบุรี การอยู่ไกลกันในเวลานั้น ย่อมเป็นการยากที่จะทราบว่าจะเป็นตายร้ายดีประการใด ถ้านายสุดจินดาน้องชายพามารดาของเจ้าตากไปส่งให้เจ้าตากได้ ก็จะเป็นกำลังใจแก่เจ้าตากเป็นอันมาก อนึ่ง ทั้งหลวงยกกระบัตรและนายสุดจินดาก็รู้จักมักคุ้นกับเจ้าตากมาแต่ก่อน หลวงยกกระบัตรกับเจ้าตากนั้น ปรากฏถึงกับว่าคุ้นเคยชอบพอกันมาตั้งแต่เวลาบวชอยู่ในวัดมาด้วยกัน นายสุดจินดาได้ปฏิบัติตามคำขอของพี่ชาย คือไปรับมารดาของเจ้าตากพาไปหาเจ้าตากที่จันทบุรี เจ้าตากจึงรับนายสุดจินดาไว้ทำงานด้วยและตั้งให้เป็นพระมหามนตรี และต่อมา เมื่อเจ้าตากได้ขับไล่พม่าไปพ้นแดนไทยและตั้งกรุงธนบุรีเป็นราชธานีแล้ว พระมหามนตรีก็รับหลวงยกกระบัตรพี่ชายมาอยู่กับเจ้าตาก เจ้าตากก็ยินดีรับไว้และตั้งให้เป็นพระราชวรินทร์ ข้อมูลจากหนังสือแผ่นดินพระเจ้าตาก โดย นพ.วิบูล วิจิตรวาทการภาพจากผู้จัดการ

กรมหลวงโยธาเทพ

กรมหลวงโยธาเทพ ภายหลังออกพระนามว่า สมเด็จพระรูปเจ้า มีพระนามเดิมว่า พระสุดาเทวี (คำให้การชาวกรุงเก่า) หรือ เจ้าฟ้าสุดาวดี (พ.ศ. 2199—2278) เ...