วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

พญามังราย

พระนาม "มังราย" เป็นพระนามที่ปรากฏในเอกสารชั้นต้นทุกชนิด ทั้งจารึก ใบลาน พงศาวดาร บทกฎหมาย บทกวี และอื่น ๆ ซึ่งรวมถึง จารึกวัดพระยืน (พ.ศ. 1912), จารึกวัดสุวรรณมหาวิหาร (พ.ศ. 1954), ตำนานมูลศาสนา (พ.ศ. 1965), ชินกาลมาลีปกรณ์ (พ.ศ. 2059), โคลงนิราศหริภุญไชย (พ.ศ. 2060), จารึกวัดเชียงมั่น (พ.ศ. 2124), และมังรายศาสตร์ (ไม่ปรากฏศักราช) โดยจารึกวัดพระยืน, จารึกวัดสุวรรณมหาวิหาร, ตำนานมูลศาสนา, ศิลาจารึกวัดเชียงมั่น, และมังรายศาสตร์ ระบุคำนำพระนามว่า "พญา" (เขียนแบบเก่าว่า "พรญา" หรือ "พรยา") มีแต่พงศาวดารโยนก ที่พระยาประชากิจกรจักร์ (แช่ม บุนนาค) เขียนขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 แห่งกรุงสยาม และเอกสารสมัยหลังซึ่งอ้างอิงพงศาวดารโยก ที่ออกพระนามว่า "เม็งราย" โดยไม่ปรากฏเหตุผลที่พระยาประชากิจกรจักร์แก้พระนาม "มังราย" เป็น "เม็งราย" แต่อย่างในปัจจุบัน มีสถานที่หลายแห่งใช้ชื่อว่า "เม็งราย" เช่น ตำบลเม็งราย, อำเภอพญาเม็งราย, โรงเรียนเม็งรายมหาราชวิทยาคม, และค่ายเม็งรายมหาราช ในจังหวัดเชียงราย ตลอดจนวัดพระเจ้าเม็งราย ในจังหวัดเชียงใหม่ ส่วนการเปลี่ยนคำนำพระนาม "พญา" เป็น "พ่อขุน" นั้น เป็นผลงานของหลวงวิจิตรวาทการ (วิจิตร วิจิตรวาทการ) อธิบดีกรมศิลปากร ทั้งนี้ คำว่า "พ่อขุน" เป็นคำนำพระนามพระมหากษัตริย์กรุงสุโขทัยสมัยหนึ่ง แต่ไม่ปรากฏการใช้งานในทางประวัติศาสตร์ของภูมิภาคล้านนา ต้นพระชนม์ พญามังรายเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าลาวเม็ง พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 24 แห่งหิรัญนครเงินยางเชียงลาว กับนางเทพคำข่าย พระราชธิดาของท้าวรุ่งแก่นชาย พระมหากษัตริย์แห่งเมืองเชียงรุ่งสิบสองพันนา การขึ้นเป็นกษัตริย์ เมื่อพระราชบิดาสวรรคตใน พ.ศ. 1802 พญามังรายทรงขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แห่งหิรัญนครเงินยางเชียงลาวต่อ และมีพระราชประสงค์จะทรงรวบรวมหัวเมืองอิสระต่าง ๆ เข้าเป็นหนึ่งเดียว โดยทรงเริ่มจากทางเหนือก่อน แล้วขยายไปฝ่ายใต้ การสร้างเมืองเชียงราย หลังจากทรงขึ้นครองราชย์ ณ หิรัญนครเงินยางเชียงลาวได้ราว 3 ปี พญามังรายทรงสร้างเมืองเชียงรายขึ้นเป็นศูนย์อำนาจใหม่ใน พ.ศ. 1805 และทรงสร้างเมืองฝางเมื่อ พ.ศ. 1816, ทรงสร้างเมืองชะแว ทางตะวันออกเฉียงเหนือของลำพูนเมื่อ พ.ศ. 1826, และทรงสร้างเวียงกุมกามเมื่อ พ.ศ. 1829 เมื่อสร้างเมืองใหม่แต่ละครั้ง พญามังรายจะประทับอยู่ที่เมืองนั้น ๆ เสมอ ซึ่งตามความเห็นของประเสริฐ ณ นคร แล้ว "คงมีพระประสงค์ที่จะสร้างชุมชนขึ้นใหม่ เพื่อรวบรวมผู้คนที่กระจัดกระจายกันอยู่ให้มาตั้งเป็นเมืองใหม่ขึ้น ในขณะเดียวกัน ก็ทรงแสวงหาชัยภูมิที่เหมาะสมจะเป็นเมืองหลวงถาวรของพระองค์ต่อไป" นอกจากนี้ ยังทรงตีได้เมืองมอบ, เมืองไร, และเมืองเชียงคำ จึงมีหัวเมืองหลายแห่งมาขออ่อนน้อมเป็นเมืองขึ้น เช่น เมืองร้าง ต่อมาจึงเสด็จไปเอาเมืองเชียงของได้ใน พ.ศ. 1812 และเมืองเซริง ใน พ.ศ. 1818 ระหว่างประทับที่เวียงกุมกาม พญามังรายทรงให้ช่างก่อเจดีย์กู่คำ ณ วัดเจดีย์เหลี่ยม พญามังรายยังโปรดให้นายช่างชื่อ กานโถม สร้างวัดแห่งหนึ่งที่มีพระพุทธปฏิมากร 5 พระองค์สูงใหญ่เท่าพระวรกายของพระองค์ ตลอดจนมหาวิหารและเจดีย์อื่นอีกเป็นอันมาก นายช่างกานโถมปฏิบัติหน้าที่ได้เป็นที่พอพระราชหฤทัย จึงโปรดให้เขาไปครองเมืองรอย (ต่อมาสถาปนาเป็นเมืองเชียงแสน) และพระราชทานนามวัดนั้นว่า วัดกานโถม การตีหริภุญไชย พญามังรายมีพระราชประสงค์จะได้เมืองหริภุญไชย (ในจังหวัดลำพูนปัจจุบัน) เพราะเป็นเมืองมั่งคั่ง เป็นศูนย์การค้าระหว่างประเทศ ธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ ทั้งยังมีทางน้ำติดต่อถึงเมืองละโว้และเมืองอโยธยาด้วย ทรงวางแผนให้ข้าหลวงคนหนึ่งชื่อ อ้ายฟ้า เข้าไปเป็นไส้ศึกในเมืองหริภุญไชย ขณะนั้น พญาญี่บาครองเมืองหริภุญไชย อ้ายฟ้าทำให้ชาวหริภุญไชยไม่พอใจพญาญี่บา โดยเกณฑ์ไปขุดเหมืองในฤดูร้อนเพื่อถ่ายแม่น้ำปิงมาสู่แม่น้ำกวงเป็นระยะทาง 36 กิโลเมตร ปัจจุบัน เหมืองดังกล่าวยังมีอยู่และยังใช้การได้ นอกจากนี้ อ้ายฟ้ายังให้ตัดไม้ซุงลากผ่านที่นาของชาวบ้านในฤดูทำนา ทำให้ข้าวเสียหาย โดยอ้ายฟ้าแจ้งว่า พญาญี่บาจะทรงสร้างพระราชวังใหม่ อ้ายฟ้าบ่อนทำลายเมืองหริภุญไชยอยู่นานเกือบ 7 ปี เป็นเหตุให้ชาวหริภุญไชยจึงเอาใจออกหากพญาญี่บา เมื่อพญามังรายทรงนำกองทัพมาล้อม จึงทรงได้เมืองไปโดยง่ายใน พ.ศ. 1824 แต่ชินกาลมาลีปกรณ์ว่าเป็น พ.ศ. 1835 การสร้างเมืองเชียงใหม่ เมื่อพญามังรายทรงได้เมืองหริภุญไชยแล้ว ขุนคราม พระราชบุตรพระองค์ที่ 2 ของพญามังราย ก็ตีนครเขลางค์ (ในจังหวัดลำปางปัจจุบัน) ได้ใน พ.ศ. 1839 ในปีนั้นเอง พญามังรายทรงสร้างเมืองเชียงใหม่ขึ้น พระราชทานนามว่า "นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่" อาณาเขตของพญามังรายนั้น ปรากฏว่า ทางเหนือถึงเชียงรุ่งและเชียงตุง ทางตะวันออกถึงแม่น้ำโขง แต่ไม่รวมเมืองพะเยา, เมืองน่าน, และเมืองแพร่ ทางใต้ถึงนครเขลางค์ และทางตะวันตกถึงอาณาจักรพุกาม (พม่าและมอญ) การตีพุกาม พงศาวดารโยนก ของพระยาประชากิจกรจักร์ (แช่ม บุนนาค) ว่า ใน พ.ศ. 1833 อาณาจักรพุกามขอเป็นเมืองขึ้นของพระองค์ พญามังรายจึงเสด็จไปเยือนพุกาม และเมื่อนิวัติ ก็ทรงนำช่างฆ้อง ช่างหล่อ ช่างเหล็ก และช่างฝีมืออื่น ๆ กลับมาด้วย แล้วก็โปรดให้ช่างทองไปประจำที่เมืองเชียงตุง แต่เรื่องดังกล่าวไม่ปรากฏในชินกาลมาลีปกรณ์ และประเสริฐ ณ นคร เห็นว่า ถ้าเกิดขึ้นจริง ควรเป็น พ.ศ. 1843 มากกว่า พ.ศ. 1833 เพราะมอญอยู่ในอาณัติของพ่อขุนรามคำแหงกรุงสุโขทัยซึ่งสวรรคตเมื่อ พ.ศ. 1841 มอญจะแยกตัวไปขึ้นเมืองใหม่ได้ก็ควรหลัง พ.ศ. 1841 นอกจากนี้ บันทึกของจีนและไทลื้อระบุว่า พญามังรายทรงเคยยกรี้พลไปตีเมืองเชียงรุ่งและอาณาจักรพุกามบางส่วนใน พ.ศ. 1840 และสิบสองพันนาใน พ.ศ. 1844 ทั้งกล่าวว่า จีนเคยยกลงมาตีอาณาจักรล้านนาแต่พ่ายแพ้กลับไปด้วย ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ พญามังรายทรงมีสัมพันธไมตรีกับพญางำเมือง พระมหากษัตริย์แห่งเมืองพะเยา (ในจังหวัดพะเยาปัจจุบัน) และพ่อขุนรามคำแหง พระมหากษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัย ทั้ง 3 พระองค์เป็นศิษย์สำนักเดียวกันที่เมืองละโว้ และเป็นพระสหายร่วมสาบานกันด้วย พ.ศ. 1819 พญามังรายทรงยกทัพไปตีเมืองพะเยา แต่เมื่อไปถึง พญามังรายกับพญางำเมืองกลับเป็นไมตรีต่อกัน ทำให้ข้อขัดแย้งสิ้นสุดลง หลังจากนั้นไม่นาน พ่อขุนรามคำแหงกับพระมเหสีของพญางำเมืองกระทำชู้กัน พญางำเมืองเชิญพญามังรายมาตัดสิน พญามังรายทรงว่ากล่าวให้พญางำเมืองกับพ่อขุนรามคำแหงกลับเป็นมิตรกันดังเดิม อนึ่ง เมื่อพญามังรายจะทรงสถาปนาเมืองเชียงใหม่นั้น ทรงปรึกษากับพระสหายทั้ง 2 พ่อขุนรามคำแหงทรงแนะนำว่า ควรลดขนาดเมืองลงครึ่งหนึ่งจากเดิมที่วางผังให้ยาวด้านละ 2,000 วา เพราะเมื่อเกิดศึกสงครามในอนาคต ผู้คนที่ไม่มากพอจะไม่อาจรักษาบ้านเมืองที่กว้างใหญ่เกินไปได้ ซึ่งพญามังรายทรงเห็นชอบด้วย พระราชไมตรีระหว่างพระมหากษัตริย์ทั้ง 3 พระองค์ ทำให้แต่ละพระองค์ทรงสามารถขยายดินแดนไปได้อย่างไม่ต้องทรงพะวงหน้าพะวงหลัง กฎหมาย มังรายศาสตร์ (บ้างเรียก วิจิฉัยมังราย) เป็นเอกสารที่ประมวลคำวินิจฉัยทางกฎหมายของพระมหากษัตริย์ ซึ่งรวมถึงพญามังราย ในรัชกาลพญามังราย มังรายศาสตร์มีเพียง 22 มาตรา ว่าด้วยการหนีศึก, ความชอบในสงคราม, หน้าที่ของไพร่ในการเข้าเวรทำงานหลวง 10 วัน กลับบ้านไปกสิกรรม 10 วัน สลับกันไป, และเรื่องที่ดิน ภายหลังมีการแก้ไขเพิ่มเติมจนยาวขึ้นอีก 10 เท่า มังรายศาสตร์ฉบับเก่าแก่ที่สุดที่หลงเหลือในปัจจุบันมีเพียงฉบับเดียว คือ ฉบับที่พบ ณ วัดเสาไห้ คัดลอกเอาไว้เมื่อ พ.ศ. 2342 และต่อมา ราชบัณฑิตยสถานแปลเป็นภาษาไทยเมื่อ พ.ศ. 2514 พระราชวงศ์ พญามังรายมีพระราชบุตรเท่าใดไม่ปรากฏชัด แต่ปรากฏว่า พระราชบุตรพระองค์แรกมีพระนามว่า ขุนเครื่อง ทรงให้ไปครองเมืองเชียงราย แต่ภายหลังคิดขบถ จึงทรงให้คนไปลอบสังหาร พระราชบุตรพระองค์ที่ 2 คือ ขุนคราม มีผลงานเป็นการตีนครเขลางค์ได้สำเร็จ จึงได้เฉลิมพระนามเป็น พญาไชยสงคราม ภายหลังได้สืบราชสมบัติต่อจากพญามังรายเป็นรัชกาลที่ 2 แห่งอาณาจักรล้านนา พระราชบุตรพระองค์ที่ 3 คือ ขุนเครือ โปรดให้กินเมืองพร้าว แต่ต่อมาถูกพระองค์เนรเทศไปเมืองกองใต้ ชาวไทยใหญ่จึงสร้างเมืองใหม่ให้ขุนเครือปกครองแทน สวรรคต พญามังรายสวรรคตเพราะทรงถูกฟ้าผ่ากลางเมืองเชียงใหม่ใน พ.ศ. 1854 รวมพระชนม์ 72 พรรษา พญาไชยสงคราม พระราชบุตรพระองค์ที่ 2 เสวยราชย์สืบต่อมา พ้นรัชกาลพญามังรายแล้ว ราชวงศ์มังรายครอบครองอาณาจักรล้านนาเป็นเอกราชอยู่ระยะหนึ่ง โดยเคยขยายอาณาบริเวณมาครอบคลุมเมืองพะเยา, น่าน, ตาก, แพร่, สวรรคโลก, และสุโขทัยด้วย กระทั่ง พ.ศ. 2101 ถูกพม่าตีแตก แล้วก็กลายเป็นเมืองขึ้นพม่าบ้าง เป็นอิสระบ้าง และเป็นเมืองขึ้นกรุงศรีอยุธยาบ้าง สลับกันไปดังนี้เป็นเวลากว่า 200 ปี จนยอมเป็นเมืองขึ้นกรุงรัตนโกสินทร์ และถูกกลืนเข้าเป็นประเทศไทยในปัจจุบัน ขอบคุณข้อมูลจากวิกิพีเดียสารานุกรมเสรี ภาพพญามังรายจากสนุกพีเดีย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

กรมหลวงโยธาเทพ

กรมหลวงโยธาเทพ ภายหลังออกพระนามว่า สมเด็จพระรูปเจ้า มีพระนามเดิมว่า พระสุดาเทวี (คำให้การชาวกรุงเก่า) หรือ เจ้าฟ้าสุดาวดี (พ.ศ. 2199—2278) เ...