สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ
(พ.ศ.2091-2111)
สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ มีพระนามเดิมว่าพระเทียรราชา
จดหมายเหตุของปินโตโปรตุเกส ว่าเป็นพระเจ้าน้องยาเธอต่างพระมารดา
กับสมเด็จพระไชยราชาธิราช เสด็จขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ.2091
หลังการยึดอำนาจจากขุนวรวงศาธิราช โดยการนำของขุนพิเรนทรเทพ ร่วมกับ ขุนอินทรเทพ
หมื่นราชเสน่หา และ หลวงศรียศบ้านลานตากฟ้า
![]() |
สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ |
ต่อไปนี้เป็นบำเหน็จความดีความชอบที่สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ
ทรงพระราชทานให้บุคคลต่าง ๆ ดังนี้
ขุนพิเรนทรเทพ
บิดาเป็นพระราชวงศ์พระร่วง เป็นหัวหน้ากลุ่มผู้ปฐมคิด โปรดเกล้าฯให้เป็น
สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชเจ้า ครองเมืองพระพิษณุโลก
ตรัสเรียกสมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระสวัสดิราช แล้วถวายพระนามว่า พระวิสุทธิกษัตรี
รั้งตำแหน่งพระอัครมเหสีเมืองพิษณุโลก
ขุนอินทรเทพ
เป็นเจ้าพระยาศรีธรรมาโศกราช ครองเมืองนครศรีธรรมราช
พระราชทานลูกพระสนมเอกองค์หนึ่ง
หลวงศรียศ เป็นเจ้าพระยามหาเสนาบดี พระราชทานลูกพระสนม
หมื่นราชเสน่หา เป็นเจ้าพระยามหาเทพ
พระราชทานลูกพระสนม
หมื่นราชเสน่หา นอกราชการ
ที่ยิงมหาอุปราชจันตาย เป็นพระยาภักดีนุชิต พระราชทานลูกพระสนม
พระยาพิชัย เป็นเจ้าพระยาพิชัย
พระยาสวรรคโลก เป็น
เจ้าพระยาสวรรคโลก
สมเด็จพระมหาจักรพรรดิเสวยราชสมบัติได้ 6 เดือน พระเจ้าหงสาวดีตะเบ็งชเวตี้ได้ยกกองทัพใหญ่เข้ามาทาง
ด่านพระเจดีย์สามองค์ และผ่านเข้ามาตีเมืองสุพรรณบุรี
กองทัพไทยต้านทานไม่ได้จึงถอยลงมากรุงศรีอยุธยา ทัพพม่ายกทัพใหญ่ตามเข้ามา
ข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาแถวบางโผงเผง แล้วยั้งทัพ ณ ทุ่งลุมพลี
ชานพระนครศรีอยุธยาด้านเหนือ
สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ พร้อมด้วย สมเด็จพระสุริโยทัย
(พระอัครมเหสี) ประดับพระองค์เป็นพระยามหาอุปราช (สมเด็จพระสุริโยทัย
ทรงเชี่ยวชาญการต่อสู้อยู่แล้ว และทรงรักพระสวามีเป็นอย่างมาก
จะเสียเปรียบตรงที่เป็นสตรีเท่านั้น ) พระราเมศวร และ พระมหินทราธิราช ทั้งสี่พระองค์ได้ยกทัพเข้าตีทัพของพม่า
โดยปะทะกับกองทัพพระเจ้าแปรซึ่งเป็นทัพหน้า สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ และ
พระเจ้าแปรไสช้างเข้าชนกันแบบยุทธหัตถี
ช้างพระที่นั่งสมเด็จพระมหาจักรพรรดิเสียทีแล่นหนี
ขณะเดียวกันพระเจ้าแปรไสช้างทรงไล่ตามมาใกล้จะทัน สมเด็จพระสุริโยทัยจึงขับช้างทรงเข้าขวางช้างศึกพระเจ้าแปร
เมื่อพระเจ้าแปรได้ที จึงฟันสมเด็จพระสุริโยทัยด้วยพระแสงของ้าว สิ้นพระชนม์บนคอช้างทรงนั้น
เมื่อพระราเมศวร และ พระมหินทร
ขับช้างชนตามมาถึง จึงเข้าแก้กันเอาพระศพพระชนนีออกมาจากสมรภูมิได้
กองทัพไทยก็ถอยกลับเข้าพระนคร
พระศพของสมเด็จพระสุริโยทัยถูกนำกลับเข้ามาทำการพระศพในอยุธยา
ณ บริเวณวัดสวนหลวงสบสวรรค์ในปัจจุบัน และได้สร้างพระเจดีย์องค์ใหญ่บรรจุพระอัฐิ
(วีรกรรมนี้น่าสรรเสริญ สมเด็จพระสุริโยทัยยิ่งนัก)
ต่อมาได้มีการต่อสู้ระหว่างทัพไทยกับพม่าอยู่หลายครั้ง ครั้งหลังทางไทยได้ใช้ปืนใหญ่ชื่อ
นารายณ์สังหาร โดยรับสั่งของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ
ลงเรือสำเภาเข้าถล่มยิงค่ายของพระเจ้าหงสาวดี
จนในที่สุดพม่ายอมถอยทัพกลับไปทางด่านแม่ละเมา
เนื่องจากทางพระมหาธรรมราชาได้รวบรวมทัพใหญ่จากเมืองพิษณุโลก และอีกหลายเมือง
มีกำลังพลประมาณ ห้าหมื่น ได้เร่งยกลงมาเพื่อตีกระหนาบ และใกล้จะถึงฤดูฝนและน้ำหลาก
ประกอบกับขาดแคลนเสบียงอย่างหนัก
กบฏพระศรีศิลป์ พระศรีศิลป์
โอรสของพระไชยราชากับแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์
ซึ่งสมเด็จพระมหาจักรพรรดิเอามาเลี้ยงไว้ เมื่ออายุได้ 14 ปีจึงให้อุปสมบทเป็นสามเณรจำพรรษาอยู่ที่วัดราชประดิษฐาน
แต่พระศรีศิลป์มิได้อยู่ในกตัญญู กลับซ่องสุมผู้คนคิดการกบฏ
เมื่อถูกจับกุมได้รับเป็นสัตย์
สมเด็จพระมหาจักรพรรดิทรงพระกรุณาไม่ประหาร ต่อมาได้รวบรวมพรรคพวก เข้ามาปล้นเอาพระนคร
ถึงกับสู้รบเป็นศึกกลางเมือง ในที่สุดพระศรีศิลป์ถูกปืนตาย
คราวนี้ผู้มีส่วนร่วมกับการก่อการในครั้งนี้ถูกประหารชีวิตทั้งหมด
ได้แก่ พระพนรัตนป่าแก้ว (ผู้ให้ฤกษ์เข้าปล้นพระนคร) พระยาเดโช พระยาท้ายน้ำ
พระยาพิชัยรณฤทธิ์ หมื่นภักดีศวร หมื่นรินทร์
ทางฝั่งพม่า ได้เกิดเหตุการณ์วุ่นวายขึ้น
และต่อมาได้มีการลอบปลงพระชนม์พระเจ้าตะเบ็งชเวตี้
ซึ่งบุเรงนองต้องใช้เวลาสามปีในการปราบปรามเมืองต่าง ๆ ที่แข็งเมืองขึ้น
จนได้อาณาจักรเดิมคืน จึงได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็น พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง เมื่อบ้านเมืองเข้มแข็งขึ้น
พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองต้องการแผ่พระบรมราชานุภาพมายังกรุงศรีอยุธยา จึงยกกองทัพใหญ่มายังกรุงศรีอยุธยา
ในปี พ.ศ.2106 โดยอ้างว่าอยุธยามีช้างเผือก
7 ช้าง ทรงขอ 2 ช้าง เมื่อทางอยุธยาไม่ให้
จึงถือเป็นเหตุให้ยกกองทัพใหญ่มา ซึ่งก็คือสงครามช้างเผือกนั่นเอง
พระเจ้าบุเรงนอง เป็นกษัตริย์นักรบ ทรงเชี่ยวชาญการศึกเป็นอย่างมาก
ได้จัดทัพใหญ่ 5 ทัพ
ให้พระมหาอุปราชาเป็นทัพหน้า ปีกขวาพระเจ้าอังวะ ปีกซ้ายพระเจ้าแปร
ทัพหนุนพระเจ้าตองอู กองทัพหลวงพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง
โดยมีกองทัพพระเจ้าเชียงใหม่เป็นกองระวังหลังและเสบียง รวมพลทั้งหมดประมาณเก้าแสน
โดยยกกองทัพผ่านมาทางด่านแม่ละเมา
เพื่อสะดวกต่อการขนปืนใหญ่มาด้วย และเริ่มตีหัวเมืองทางเหนือก่อนเพื่อป้องกัน
การตีตลบหลัง เหมือนครั้งพระเจ้าตะเบงชเวตี้ยกมาครั้งก่อน และรบชนะมาตลอดทาง
จนถึงเมืองพระพิษณุโลก
สมเด็จพระมหาธรรมราชาไม่อาจต้านทานทัพพระเจ้าบุเรงนองได้จึงยอมโดยสงบ
ทัพของพระเจ้าบุเรงนองจึงยกทัพต่อไปถึงกรุงศรีอยุธยาโดยล้อมกรุงศรีอยุธยาไว้ทั้งสี่ด้าน
สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ต้องเสียช้างเผือกรวมสี่ช้าง จากเจ็ดช้าง และ
พระเจ้าบุเรงนองได้ขอพระราเมศวรไปเลี้ยงเป็นพระราชโอรส (เป็นตัวประกัน)
พร้อมพระยาจักรี และพระสุนทรสงครามไปเป็นพี่เลี้ยงด้วย หลังจากนั้นพระเจ้าบุเรงนองจึงเสด็จยกทัพหลวงกลับกรุงหงสาวดี
ต่อมาพระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตมีพระราชประสงค์จะได้พระราชบุตรีอันประสูติแต่สมเด็จพระสุริโยทัยวีรสตรีที่สิ้นพระชนม์ไปแล้ว
มาเป็นพระมเหสีให้เป็นเกียรติ์แก่ราชวงศ์ ซึ่งพระองค์ยังไม่มีพระมเหสี
ทางไทยได้ส่งพระแก้วฟ้าไปแทน พระเทพกษัตรี
เนื่องจากพระเทพกษัตรีทรงพระประชวรหนัก ทางกรุงศรีสัตนาคนหุตไม่ยอม
อ้างว่าไม่ใช่ราชบุตรีที่เกิดจากสมเด็จพระสุริโยทัย และได้ส่งคืน
ทางไทยจึงจัดส่งพระเทพกษัตรีไปให้หลังหายจากพระประชวร
แต่ปรากฏว่าขบวนเสด็จพระเทพกษัตรี
ถูกซุ่มโดยทหารของกรุงหงสาวดีและชิงเอาพระเทพกษัตรีไปยังกรุงหงสาวดี
ซึ่งเกิดจากการแจ้งข่าวไปยังกรุงหงสาวดีโดย สมเด็จพระมหาธรรมราชา
สมเด็จพระมหาจักรพรรดิได้ทราบข่าว
ทรงเสียพระทัยเป็นอย่างมาก ถึงกับทรงสละราชสมบัติขณะพระชนม์ได้ 59 พรรษา แล้วยกราชสมบัติให้พระมหินทราธิราช ในปี พ.ศ.2095
(ขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)
(ขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น