วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2564

พระเจ้าล้านตื้อกลางแมน้ำโขง

พระเจ้าล้านตื้อกลางแม่น้ำโขง เป็นเรื่องเล่าขานมาเนิ่นนาน ตื้อหมายถึงอะไร นายบุญส่ง เชื้อเจ็ดตน ประธานสภาวัฒนธรรมเชียงแสนบอกว่า เป็นจำนวนนับของคนเหนือโบราณคือ "หน่วย สิบ ร้อย พัน หมื่น แสน ล้าน โกฏิ ตื้อ" ดังนั้น หนึ่งตื้อเท่ากับ 10 โกฏิ หรือ 100 ล้าน ส่วนเสียงลือเสียงเล่าอ้างเรื่อง พระเจ้าล้านตื้อนั้น ขานกันว่าเป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่มาก อยู่ในวัดที่ตั้งอยู่ในเกาะกลางแม่น้ำโขง อาจจะเป็นวัดใดวัดหนึ่งบนเกาะกลางแม่น้ำโขง สืบมาเมื่อสภาพพื้นดินเปลี่ยนไป เกาะแก่งถูกน้ำพัดจมหาย พระพุทธรูปพลอยจมอยู่กลางแม่น้ำโขง ยุคสมัยสร้างพระเจ้าล้านตื้อ อาจอยู่ช่วงใดช่วงหนึ่ง ตั้งแต่สมัย เชียงแสนยังเป็นอาณาจักร มีกษัตริย์ปกครองแว่นแคว้นของตนเอง สมัยเชียงแสนเป็นแว่นแคว้น มีการสร้างพระเจริญรุ่งเรือง ในหนังสือพระพุทธรูปสำคัญของกรมศิลปากรระบุว่า พระพุทธรูปเชียงแสนเจริญรุ่งเรืองทางภาคเหนือของประเทศไทย ประมาณพุทธศตวรรษที่ 18-20 นักโบราณคดีแบ่งออกมาเป็น 2 รุ่น 1. พระพุทธรูปเชียงแสนรุ่นแรก อายุประมาณพุทธศตวรรษที่ 17-18 ลักษณะเด่นของพระยุคนี้คือ มีพุทธลักษณะคล้ายพระพุทธรูปอินเดียแบบปาละ สร้างด้วยศิลา โลหะ และปูนปั้น 2. พระพุทธรูปเชียงแสนรุ่นหลัง อายุประมาณพุทธศตวรรษที่ 18-21 มีพุทธลักษณะแบบล้านนาผสมกับอิทธิพลศิลปะสุโขทัย วัสดุใช้สร้างมีทั้งทำจากศิลา รัตนชาติ และปูนปั้น ที่สำคัญ ส่งอิทธิพลต่อรูปแบบศิลปะแถบเมืองหลวงพระบาง เวียงจันทน์ จำปาสัก รวมทั้งอาณาจักรสุโขทัย สำหรับร่องรอยพระเจ้าล้านตื้อ ที่เชื่อกันว่าอยู่ในแม่น้ำโขง 1. มาจากตำนานเล่าขานของชาวบ้าน 2. มีคนพบเปลวรัศมีเหนือพระเศียร เชื่อกันว่าเป็นของพระเจ้าล้านตื้อ และ 3. มีคำเล่าลือว่า มีคนทอดแหพบพระเศียร และเชื่อกันว่าเป็นของพระเจ้าล้านตื้อ เกี่ยวกับหลักฐานทั้งหมด นายบุญส่งบอกว่า ที่เห็นเป็นรูปธรรมชัดเจนที่สุดก็คือ เปลวรัศมีเหนือพระเศียร ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์เชียงแสน จังหวัดเชียงราย ส่วนพระเศียรที่ว่าคนทอดแหเจอ รวมทั้งคำเล่าลือว่า คนลาวไปหาปลาเจอเสาวิหารในแม่น้ำโขงนั้น ยังไม่มีอะไรยืนยันได้ แน่นอน อย่างไรก็ตาม เหตุผลทั้ง 3 ประการรวมกัน กลายเป็นความเชื่ออย่างจริงใจว่า พระเจ้าล้านตื้อต้องอยู่ในแม่น้ำโขง ทำให้เกิดคณะค้นหา แต่ต้องหยุดไป เพราะติดขัดเรื่องเกาะแก่งกลางแม่น้ำโขงนั้น เป็นของลาวตามสนธิสัญญาระหว่างสยาม-ฝรั่งเศส ดังนั้น ขณะนี้เดือนมีนาคม พ.ศ.2553 พระเจ้าล้านตื้อจะมีจริงหรือไม่ จึงมิอาจยืนยันได้ด้วยหลักฐาน ขณะที่ฝ่ายเชื่อว่ามีพระเจ้าล้านตื้อในแม่น้ำโขงเชื่อเต็ม 100 ก็มีเสียงคัดค้านว่าไม่มีพระเจ้าล้านตื้ออยู่จริง จากชาวเชียงแสนกลุ่มหนึ่ง หนึ่งในจำนวนนั้นคือ นายนิกร เหล่าวานิช ประธานชมรม รักเชียงแสน บอกว่า อยู่เชียงแสนมาไม่น้อยกว่า 20 ปี สนใจเรื่องประวัติศาสตร์ และเรื่องพระกลางแม่น้ำโขงมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน จากการศึกษาด้วยตนเอง ทั้งตำราต่างๆ และเดินทางในพื้นที่ ไม่เชื่อว่าพระเจ้าล้านตื้อมีจริง "ผมทราบแต่เพียงว่า เกาะดอนแท่นนั้น เป็นเกาะกลางแม่น้ำโขง เป็นเกาะศักดิ์สิทธิ์ พระมหากษัตริย์โบราณใช้เป็นสถานที่ทำพิธีทางศาสนากัน ไม่ว่าจะเป็นเผา พุทธาภิเษก ก็ทำกันที่บนเกาะ วัดบนเกาะนี้มีในตำราว่า มีการสร้างวัดไว้ 2 แห่งคือ วัดพระแก้วกับวัดพระคำ วัดพระแก้ว ตามหลักฐานบอกว่าห่างจากวัดพระคำไปทางใต้" ดังนั้น "พระธาตุที่ผุดขึ้นมาที่เชียงแสนนั้น น่าจะเป็นพระธาตุวัดพระแก้ว อายุของพระที่ขุดได้ก็ใกล้เคียงกัน" นายนิกรบอก บริเวณที่ลาวขุดพระได้ไปนั้น นิกรบอกว่า เดิมเป็นหมู่บ้านบนเกาะ เป็นดอนขนาดใหญ่ เมื่อน้ำหลากตลิ่งพัง ลาวเลยย้ายหมู่บ้านขึ้นไปบนดอนสวรรค์ เมื่อน้ำแห้งพระธาตุก็ผุดขึ้นมา และพบว่าพระธาตุมีพระอายุ ประมาณ 600-700 ปี ส่วนเรื่องพระเจ้าล้านตื้อที่มีคนพบเปลวรัศมี แล้วนำมาไว้ที่พิพิธภัณฑ์เชียงแสนนั้น นายนิกรบอกว่า "เขาไม่ได้เอาขึ้นมาจากแม่น้ำโขง จริงๆแล้ว มันถูกทิ้งไว้ที่ซากวัดเค้า หลังเชียงแสนนี่เอง ผมทราบว่า ขโมยมันขนกันมาทางเรือ แล้วเอาพลอยสีไปหมด ปล่อยเปลวรัศมีทิ้งไว้ที่วัดร้าง เมื่อกรมศิลป์เข้ามาสำรวจ ก็เก็บเอามาไว้ที่วัดมุมเมือง ซึ่งอยู่ตรงสี่แยกไปรษณีย์เชียงแสน ต่อมาย้ายไปวัดเจดีย์หลวง แล้วหลังจากนั้นกรมศิลป์อัญเชิญเข้าพิพิธภัณฑ์" ลักษณะของเปลวรัศมี "ผมว่าไม่ใช่ลักษณะของเชียงแสน แต่เป็นลักษณะพระทางพม่า คล้ายไปทางเชียงตุง ผมว่า คนเอาเรื่องเล่าคนหาปลา แล้วแหไปติดเศียรพระมาผูกเข้าเป็นเรื่องเดียวกัน" เมื่อถามถึงคนเชียงแสนรุ่นเก่า กับเรื่องราวของพระเจ้าล้านตื้อ นายนิกรบอกว่า คนโยนกที่ย้ายถิ่นไปอยู่คูบัว จังหวัดราชบุรี สระบุรี เมื่อไปถามก็จะไม่มีใครทราบเรื่องนี้ "แต่ทำไมคนเชียงแสนที่ย้ายบ้านเข้ามาสมัย ร.5 ถึงรู้ คนที่ย้ายเข้ามาใหญ่นี้ เพราะรัชกาลที่ 5 ทรงเห็นว่ามีเงี้ยว เกรงว่าชนเผ่าจะยึดครองเชียงแสน เลยให้เจ้ากาวิละแห่งเมืองเชียงใหม่ อพยพผู้คนเข้ามาเชียงแสน สร้างครอบครัวกัน" ดังนั้น "คนเชียงแสนในปัจจุบันอยู่กันมาไม่เกิน 170 ปี แล้วจะเห็นพระได้อย่างไร ในเมื่อคนที่อพยพไปไม่เคยเห็น ผมว่าเป็นเพราะชาวประมงบอกว่าเห็น แล้วก็เล่ากันไป นอกนั้นก็เป็นเรื่องของความฝัน" เมื่อถามถึงความเป็นไปได้ เมื่อดูจากหลักฐานพื้นที่ นายนิกรบอกว่า เรื่องจะมีพระสำริดองค์ใหญ่นั้นเป็นไปได้ยาก เพราะสมัยก่อนวัสดุชนิดนี้หาไม่ง่าย "ผมคิดว่า พระประธานในโบสถ์เก่าๆของเชียงแสนเป็นปูนหมด ดูจากวัดทั้งหมดในเชียงแสนกว่า 150 วัด พระประธานเป็นปูน เศียรจะทำด้วยหินทรายทำให้คอหัก เพราะฉะนั้นสันนิษฐานว่า จะมีพระพุทธรูปสำริดใหญ่ขนาดนั้น ผมว่าไม่มี จะมีก็แต่เจ้าล้านทองซึ่งเป็นพระสิงห์หนึ่ง" ตามประวัติการสร้าง พระเจ้าล้านทอง เป็นพระศิลปะล้านนา ปางมารวิชัย ขัดสมาธิราบ สร้างด้วยสำริด หน้าตักกว้าง 210 ซม. สูง 300 ซม. พระยาศิริรัชฎ์เงินกอง เจ้าเมืองเชียงแสนได้สร้างไว้เมื่อ พ.ศ. 2032 ปัจจุบันอยู่วิหารหลวง วัดพระเจ้าล้านทอง อำเภอเชียงแสน "ผมว่า อาจเพราะมีพระเจ้าล้านทองนี้เอง คนเลยเอาไปคิดเทียบ แล้วบอกว่าเป็นพระเจ้าล้านตื้อ" นายนิกรสรุปว่า เรื่องการค้นหาต่อไปนั้น ขอให้หยุดเสียดีกว่า เพราะการค้นหาแต่ละครั้งต้องใช้งบประมาณมาก แถมยังไม่ได้อะไร "ถ้าจะมีจริง ก็ขอให้ท่านอยู่อย่างนั้นเถอะ มีจริงหรือไม่จริง ไม่ต้องค้นพบก็ได้" พระเจ้าล้านตื้อจะมีจริงหรือไม่ก็ตาม เมื่อไม่พบก็ได้แต่ค้างคาใจถ้าค้นพบขึ้นมาจะเป็นปัญหาใหญ่หรือไม่? เพราะเราไม่อาจหลบทุ่นระเบิดเส้นแบ่งเขตแดน ที่นักล่าอาณานิคมบรรจงวางไว้. ขอบคุณเรื่องและภาพ(พระเกศพระเจ้าล้านตื้อ)จากอินเตอร์เน็ต(ขออภัยที่ผมไม่ได้บันทึกที่มาไว้)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

กรมหลวงโยธาเทพ

กรมหลวงโยธาเทพ ภายหลังออกพระนามว่า สมเด็จพระรูปเจ้า มีพระนามเดิมว่า พระสุดาเทวี (คำให้การชาวกรุงเก่า) หรือ เจ้าฟ้าสุดาวดี (พ.ศ. 2199—2278) เ...