วันอังคารที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2563

วัดนก

วัดนก ตั้งอยู่ถัดจากกำแพงวัดมหาธาตุลงมาทางทิศใต้ ปรากฏชื่อในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาเมื่อครั้งสมเด็จพระนเรศวรทรงนำพระมหาเถรคันฉ่องกับพระยาเกียรติพระยารามและครัวมอญจากเมืองมอญลงมากรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระมหาธรรมราชา (พ.ศ.๒๑๑๒-๒๑๓๓) พระราชบิดา จึงโปรดให้ครัวมอญและญาติโยมของพระมหาเถรคันฉ่องไปตั้งบ้านเรือนอยู่หลังวัดนก ส่วนพระมหาเถรคันฉ่องซึ่งเป็นผู้นำพระยาเกียรติพระยารามมาเฝ้าเพื่อทูลข้อราชการลับของฝ่ายพม่าให้สมเด็จพระนเรศวรทรงทราบถึงแผนการลอบปลงพระชนม์พระองค์นั้น ก็โปรดให้ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดมหาธาตุข้างวัดนกนั่นเอง เมื่อได้ชมศิลปะสมัยอยุธยาตอนต้นของวัดมหาธาตุแล้ว ออกจากวัดให้เดินเลี้ยวขวาไปตามบาทวิถี พอพ้นแนวกำแพงวัดแล้วให้เลี้ยวขวาอีกที เดินตรงไปเรื่อย ๆ ก็จะเห็นซากโบราณสถานของวัดนกตั้งเด่นเป็นสง่า ถัดจากกำแพงวัดมหาธาตุลงไปทางซ้ายหน่อยเดียว ดูอาณาบริเวณจนทั่วแล้วคงจัดได้ว่า วัดนกเป็นวัดขนาดเล็ก ภายในวัดประกอบด้วยซากอาคารวิหาร แท่นพระประธานมีซากพระพุทธรูปหันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก มีปรางค์ประธานขนาดเล็กตั้งอยู่ด้านหลังวิหารหลังวัดนกออกไปปัจจุบันเป็นบริเวณสวนสาธารณะบึงพระราม มองเห็นซากอาคารพระอุโบสถและเจดีย์ประธานทรงลังกาของวัดหลังคาดำอยู่ไกล ๆ ส่วนทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ไปจนถึงวัดโพง เป็นบริเวณที่เอกสารหลักฐานทางประวัติศาสตร์ระบุว่า มีตลาดของชาวมอญ มีร้านขายของชำ ขายของสดเช้าเย็น อีกทั้งยังเป็นตลาดขายเครื่องทองเหลืองขนาดใหญ่ในสมัยอยุธยาเช่น ขัน ถาด พาน เป็นต้น ครัวมอญและญาติโยมของพระมหาเถรคันฉ่อง ก็คงได้รับโปรดเกล้าฯให้มาตั้งบ้านเรือนทำมาหากินอยู่ในย่านตลาดแห่งนี้ โดยปวัตร์ นวะมะรัตน์ จากศิลปวัฒนธรรม ฉบับที่ ๖ เมษายน ๒๕๕๐

วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

คนจีนในสยาม

สมัยกรุงศรีอยุธยา อิทธิพลของจีนมีบทบาทมายาวนานต่อเนื่อง แม้ล่วงเลยมาถึงสมัยกรุงศรีอยุธยาก็ยังปรากฏให้เห็น ดังเช่นต้นสมัยกรุงศรีอยุธยามีหลักฐานเป็นเอกสารของจีนพบว่ามีเจ้านครอินทร์เชื้อสายสุพรรณภูมิได้เดินทางไปเมืองจีนหลายครั้ง และได้กล่าวถึงเอี้ยวลกควรอิมที่ได้ไปเมืองจีน ซึ่งก็คือเจ้านครอินทร์นั่นเอง (กษัตริย์พระองค์ที่ ๖ แห่งกรุงศรีอยุธยา) ในรัชสมัยขุนหลวงพระงั่ว เจ้านครอินทร์ (พระราชนัดดา) ทรงมีพระปรีชาสามารถในด้านการค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการค้าขายกับเมืองจีนอย่างต่อเนื่องเสมอมา ได้เสด็จไปเมืองจีนหลายครั้งตั้งแต่ยังไม่ทรงครองราชย์จนตลอดรัชสมัยของพระองค์ ในรัชสมัยของพระองค์ถือเป็นยุคทองทางการค้ายุคต้นของกรุงศรีอยุธยา พระองค์ทรงส่งคณะราชทูตกับทั้งเรือสินค้าไปค้าขายกับเมืองจีนถึง ๑๔ ครั้ง เจ้านครอินทร์ได้นำช่างทำเครื่องปั้นดินเผาจากจีนมาสยาม พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกที่เสด็จไปเมืองจีนด้วยพระองค์เอง ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น บางกอก (กรุงเทพฯ) เป็นชุมนุมใหญ่ต่อมามีฐานะเป็นเมือง โดยมีเจ้าเมืองเป็นผู้ดูแลฝั่งบางกอกและฝั่งธนบุรี ซึ่งขณะนั้นยังเป็นแผ่นดินเดียวกัน เพราะลำน้ำเจ้าพระยาสายเก่าไหลลงมาเข้าคลองบางกอกน้อยแล้วออกคลองบางกอกใหญ่ จนในปี พ.ศ. ๒๐๘๕ สมเด็จพระไชยราชาธิราช โปรดฯ ให้ขุดคลองลัด ทำให้ย่นระยะทางตั้งแต่บริเวณปากคลองบางกอกน้อยไปจรดปากคลองบางกอกใหญ่ หรือปัจจุบันจากหน้าสถานีรถไฟบางกอกน้อยถึงบริเวณวัดอรุณฯ ทำให้แม่น้ำเจ้าพระยาเปลี่ยนทิศทางกระแสน้ำไหลลัดตัดตรงจนคลองลัดขยายกว้างกลายเป็นแม่น้ำเจ้าพระยาสายใหม่ ตลอดสมัยกรุงศรีอยุธยาศูนย์กลางชุมชนย้ายทิศทางมาอยู่ฝั่งวัดอรุณฯ จนถึงวัดระฆังฯ ขณะเดียวกันฝั่งตรงข้ามบริเวณพระบรมมหาราชวังในปัจจุบันมีชาวจีนและชาวสยามมาตั้งบ้านเรือนอยู่อาศัยและทำมาค้าขาย ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายมีวัดสำคัญเกิดขึ้นในบางกอก ได้แก่วัดสลัก (วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤฤษฏ์ฯ) และวัดโพธิ์ (วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามฯ) หรือในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง และสมัยสมเด็จพระนารายณ์ การค้าขายมีความเจริญรุ่งเรืองมากขึ้น มีการจัดเรือสำเภาหลวงออกไปติดต่อค้าขายกับจีน ในยุคสมัยนี้มีจำนวนชาวจีนอพยพเพิ่มจำนวนขึ้น ช่วยให้ธุรกิจการค้าในราชอาณาจักรเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีการสนับสนุนพ่อค้าชาวจีนในสยาม พ่อค้าชาวจีนยุคบุกเบิกเข้ามามีบทบาทสำคัญในสยาม ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีนทำให้มีชุมชนชาวจีนในสยามมากขึ้น นับแต่ยุคแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์ การค้าขายทางเรืออยู่ในการควบคุมของชาวจีนเป็นหลัก ในสมัยกรุงศรีอยุธยามีกองกำลังอาสาชาวจีนช่วยออกรบทำศึกสงครามโดยเสมอมา พระมหากษัตริย์ทรงไว้วางพระราชหฤทัยให้ชาวจีนมารับราชการเป็นจำนวนมาก มีหัวหน้าชาวจีนที่มีหน้าที่ควบคุมดูแลชาวจีน โดยดำรงตำแหน่งเป็นเจ้ากรมท่าซ้าย มีบรรดาศักดิ์ที่โชฎึกราชเศรษฐี ชาวจีนได้ได้ร่วมรบและปกป้องชาติบ้านเมืองจนถึงคราวกรุงแตกครั้งที่ ๒ ชาวจีนได้อพยพเข้ามาส่วนมากมาจากตอนใต้ของประเทศจีน เพื่อมาตั้งรกรากปลูกบ้านเรือนและทำการค้า ในอดีตชาวจีนตั้งบ้านเรือนอยู่หนาแน่นบริเวณวัดพนัญเชิง และริมฝั่งน้ำตรงข้ามวัดพนัญเชิง ปัจจุบันอาศัยหนาแน่นอยู่บริเวณหัวรอ ตลาดเจ้าพรหม ส่วนใหญ่เป็นจีนแต้จิ๋วและจีนไหหลำ ตระกูลเก่าที่มีบทบาทในอยุธยาในปัจจุบันคือ แซ่เบ้ (จีนแต้จิ๋ว) เปลี่ยนนามสกุลมีคำว่า อัศวนำหน้า แซ่ด่าน (จีนไหหลำ) เปลี่ยนนามสกุลมีคำว่า ด่านนำหน้า อาชีพของชาวจีนเหล่านี้ เช่น ธุรกิจโรงเลื่อยไม้ การต่อเรือ เป็นต้น คนจีนเหล่านี้ได้รวมตัวกันเป็นสมาคม ชมรม มูลนิธิช่วยเหลือด้านสาธารณกุศลในอยุธยา เรื่องจากหนังสือต้นตำนานลูกหลานจีนในสยาม โดยกิตติ โล่เพชรัตน์เรียบเรียง by krisda paleeriamภาพจากเว็บไทยทิคเก็ตเมเจอร์ด็อทคอม

วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

พระชาติกำเนิดพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงเป็นพระโอรสในสเด็จพระปฐมบรมมหาชนก ทรงพระนามว่าหลวงพินิจอักษร (ทองดี) และพระมารดาดาวเรือง (บางแห่งว่าหยก) ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททองเป็นพระประมุขของชาติไทย ในตอนนั้นประเทศไทยยังมีกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีอยู่ พระองค์มีพระราชโอรสพระองค์หนึ่งมีพระนามว่า เจ้าฟ้านารายณ์ราชกุมาร แต่เจ้าฟ้าพระองค์นี้ทรงสูญเสียพระราชมารดาไป เมื่อพระองค์ประสูติได้เพียง 9 วันเท่านั้น ก็โดยเหตุนี้ก็ต้องมีพระแม่นมเพื่อถวายพระอารักขา จึงพระเจ้าปราสาททองผู้ราชบิดาจำต้องจัดหามาถวาย พร้อมทั้งทรงสร้างวังให้เป็นที่ประทับด้วย ทั้งพระนมกับพระราชโอรส วังที่สร้างขึ้นใหม่นี้อยู่ริมวัดดุสิตารามนอกกำแพงพระนคร แล้วก็ทรงขนานนามพระนมองค์นี้ว่า เจ้าแม่วัดดุสิต เจ้าฟ้านารายณ์ราชกุมารทรงรักใคร่พระนมมาก ตรัสเรียกเสมอด้วยพระราชมารดามาจนตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ เจ้าแม่วัดดุสิตมีบุตรชาย 2 คน ๆ โตชื่อเหล็ก คนเล็กชื่อปาน คนที่ชื่อปานนี้ ต่อมารับราชการฝ่ายพลเรือนจนเป็นใหญ่เป็นโตในรัชสมัยของ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช และมีบุตรชายคนใหญ่สืบสกุลต่อมา ชื่อนายขุนทอง ๆ ก็รับราชการในแผ่นดินพระพุทธเจ้าเสือ จนได้เป็นที่พระยารัษฎาเรืองเดชในเบื้องแรก และได้บรรดาศักดิ์สูงสุดในภายหลัง เป็นเจ้าพระยาวรวงศาธิราช มีตำแหน่งเสนาบดีกรมพระคลัง บุตรของเจ้าพระยาท่านนี้มีหลายคน คนที่ชื่อทองคำนั้นรักทำราชการอยู่ ท่านบิดาก็สนับสนุนให้เป็นมหาดเล็กในกรมพระราชวังบวรเจ้าฟ้าเพชร มีบรรดาศักดิ์เป็นจมื่นมหาสนิท ครั้นเมื่อกรมพระราชวังบวรเจ้าฟ้าเพชรเสด็จขึ้นครองราชย์ ทรงพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ ก็โปรดฯเลื่อนจมื่นมหาสนิทเป็นพระยาราชนิกูลปลัดทูลฉลองมหาดไทย ท่านพระยาฯ ก็มีบุตรชายคนหนึ่งชื่อว่าทองดี เมื่อโตขึ้นและผ่านการศึกษาเล่าเรียนมาแล้ว ก็เข้ารับราชการสนองพระเดชพระคุณเป็นเสมียนตราในกรมมหาดไทย และมีบรรดาศักดิ์ เป็นหลวงพินิจอักษร คุณหลวงพินิจอักษรได้สมรสกับสุภาพสตรีสูงศักดิ์คนหนึ่งชื่อดาวเรือง คุณหลวงกับภริยา มีนิวาสสถานอยู่ภายในกำแพงเมืองตรงหลังป้อมเพชร สามีภรรยาคู่นี้เลื่อมใสในพระบวรพุทธศาสนายิ่งนัก ท่านได้สร้างวัดไว้วัดหนึ่งใกล้ ๆ บ้านของท่านชื่อว่า “วัดทอง” นี่ย่อมแสดงให้เห็นว่า ตระกูลนี้มั่งคั่งมีหน้ามีตามาก และมีศรัทธาปสาทะในพุทธศาสนาอย่างแท้จริง คุณหลวงพินิจอักษรกับคุณนายดาวเรืองศรีภรรยา มีบุตรธิดาร่วมกัน 5 คน เป็นชาย 3 คน เป็นหญิง 2 คน คนที่ 1 เป็นหญิงชื่อ สา (ต่อมา) ได้รับสถาปนาเป็น พระเจ้าพี่นางเธอ กรมสมเด็จพระเทพสุดาวดี คนที่ 2 เป็นชายชื่อ ขุนรามณรงค์ (ท่านผู้นี้ถึงแก่กรรมก่อนที่จะเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่าเป็นครั้งที่ 2) คนที่ 3 เป็นหญิงชื่อ แก้ว (ต่อมา) ได้รับสถาปนาเป็น พระเจ้าพี่นางเธอ กรมสมเด็จพระศรีสุดารักษ์ คนที่ 4 เป็นชายชื่อ ทองด้วง (คือ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์) คนที่ 5 เป็นชายชื่อ บุญมา (ต่อมาได้รับสถาปนาเป็น กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท สมเด็จพระอนุชาธิราช) เหตุการณ์ก่อนพระราชสมภพ เมื่อคุณนายดาวเรืองตั้งครรภ์ครั้งที่ 4 และใกล้จะคลอดนั้น เจ้าฟ้านเรนทร์กรมขุนสุเรนทรพิทักษ์ทรงผนวชอยู่ ได้เสด็จมาเยี่ยมในฐานะที่คุ้นเคยกันมา คุณหลวงก็ทูลขอน้ำมนต์สะเดาะเพื่อให้ทารกคลอดง่าย เจ้าฟ้าพระก็ประทานให้เพราะทรงเมตตา อีกไม่นานนักก็ถึงวันครบกำหนดคลอด และก็คลอดทารกเป็นชายอย่างง่ายดายในวันนั้น ซึ่งตรงกับวันพุธที่ 20 มีนาคม เดือนยี่ แรมห้าค่ำ ปีมะโรง อัฐศก จุลศักราช 1098 ( พ.ศ.2278) จากหนังสือพระวีรประวัติ 9 รัชกาลแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ โดยสิงห์ สรชัยภาพจากวิกิพีเดีย

นายสุดจินดา

นายสุดจินดา หรือ กรมพระราชวังบวรแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (สมัย ร.1) ได้เป็นแขนขวาของเจ้าตาก ในการกู้อิสรภาพของไทย ครั้นเมื่อกู้อิสรภาพได้แล้ว ก็กลับเป็นแขนซ้าย โดยมีพี่ชายคือ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เข้าเป็นแขนขวาแทน นายสุดจินดาเกิดเมื่อพุทธศักราช 2286 อายุอ่อนกว่าเจ้าตาก 9 ปี รับราชการในกรุงศรีอยุธยา ได้บรรดาศักดิ์เป็นนายสุดจินดา เมื่อได้มาอยู่กับเจ้าตากแล้วก็ได้เลื่อนยศเป็นพระมหามนตรี พระยาอนุชิตราชา พระยายมราช และเจ้าพระยาสุรสีห์พิษณุวาธิราช โดยลำดับ การรับราชการในเบื้องต้น นายสุดจินดาขึ้นหน้าพี่ชาย (คือสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ) โดยได้เป็นแม่ทัพก่อน ได้เป็นเจ้าพระยาก่อน และได้เป็นผู้สำเร็จราชการพิษณุโลก ซึ่งเป็นตำแหน่งสำคัญเท่ากับมหาอุปราช เป็นผู้มีความเพียรแรงกล้า และเป็นตัวอย่างของความเข้มแข็ง เจ้าตากเองก็ทรงรักดังราชบุตร เรียกพระองค์ว่า “พ่อ” เสมอในเวลาที่รับสั่งกับท่านผู้นี้ เมื่อครั้งเป็นเจ้าพระยาสุรสีห์ เคยทำผิดพลาดถึงถูกเฆี่ยนหลัง เจ้าตากทรงเฆี่ยนด้วยพระองค์เองประหนึ่งพ่อเฆี่ยนลูก ไม่ได้ให้คนอื่นเฆี่ยน นายสุดจินดาได้เข้ามารับราชการกับเจ้าตาก เกิดจากหลวงยกกระบัตร เมืองราชบุรีผู้พี่แนะนำ หลวงยกกระบัตรทราบว่าเวลานี้มารดาของเจ้าตากกับเจ้าตากยังพลัดพรากกันอยู่ เจ้าตากกำลังติดธุระอยู่ทางจันทบุรี แต่มารดาเจ้าตากอยู่ที่เพชรบุรี การอยู่ไกลกันในเวลานั้น ย่อมเป็นการยากที่จะทราบว่าจะเป็นตายร้ายดีประการใด ถ้านายสุดจินดาน้องชายพามารดาของเจ้าตากไปส่งให้เจ้าตากได้ ก็จะเป็นกำลังใจแก่เจ้าตากเป็นอันมาก อนึ่ง ทั้งหลวงยกกระบัตรและนายสุดจินดาก็รู้จักมักคุ้นกับเจ้าตากมาแต่ก่อน หลวงยกกระบัตรกับเจ้าตากนั้น ปรากฏถึงกับว่าคุ้นเคยชอบพอกันมาตั้งแต่เวลาบวชอยู่ในวัดมาด้วยกัน นายสุดจินดาได้ปฏิบัติตามคำขอของพี่ชาย คือไปรับมารดาของเจ้าตากพาไปหาเจ้าตากที่จันทบุรี เจ้าตากจึงรับนายสุดจินดาไว้ทำงานด้วยและตั้งให้เป็นพระมหามนตรี และต่อมา เมื่อเจ้าตากได้ขับไล่พม่าไปพ้นแดนไทยและตั้งกรุงธนบุรีเป็นราชธานีแล้ว พระมหามนตรีก็รับหลวงยกกระบัตรพี่ชายมาอยู่กับเจ้าตาก เจ้าตากก็ยินดีรับไว้และตั้งให้เป็นพระราชวรินทร์ ข้อมูลจากหนังสือแผ่นดินพระเจ้าตาก โดย นพ.วิบูล วิจิตรวาทการภาพจากผู้จัดการ

วันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

พระยาศรีไสยณรงค์ (ตอนจบ)

   
สมเด็จพระเอกาทศรถ จากสยามดารา (ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช)
        เพลารุ่งแล้วนาฬิกาหนึ่ง สมเด็จพระเอกาทศรถทรงเครื่องอลังการสำหรับพิชัยยุทธ์ เสด็จทรงช้างพระที่นั่งเจ้าพระยาปราบไตรจักร พร้อมท้าวพระยาไพร่พลทวยหาญ กรีธาพลเลียบเมืองดูท่วงทีซึ่งจะให้ทหารเข้าปีนเมือง ฝ่ายพระยาตะนาวศรีออกมายืนถือหอก กั้นสัปทนอยู่บนเชิงเทิน แลเห็นพลสมเด็จพระเอกาทศรถ พระอนุชาธิราชเจ้าดุจคลื่นมหาสมุทร กระทั่งเสียงปี่กลองแตรสังข์ก็ตกใจตะลึงไปจนหอกพลัดหลุดมือมิรู้ตัว บ่าวไพร่เห็นเช่นนั้นก็เสียขวัญ พูดกันต่อ ๆ ไปว่า นายเราเห็นจะป้องกันเมืองไว้ไม่ได้
     ครั้นเพลายามสามสมเด็จพระเอกาทศรถเสด็จขึ้นเกยคอยฤกษ์ พอล่วงสามยามเจ็ดบาท พระบรมสารีริกธาตุใหญ่เท่าผลส้มเกลี้ยงเสด็จผ่านแต่ทิศอุดรเฉียงไปอาคเนย์ พระรัศมีสว่างไปทั่วทั้งอากาศ และปฐพีดล ก็ทรงโสมนัสถวายทศนัขสโมทานเหนือศิโรตม์ด้วยปัญจางคประดิษฐ์ แล้วสั่งประโคมแตรสังข์ดุริยดนตรีปี่พาทย์ฆ้องชัยในทันที ให้ฝรั่งแม่นปืนจุดจ่ารงค์เป็นสำคัญ ทหารก็เอาบันไดพาดกำแพงปีนเข้าเมืองได้ พอเพลารุ่งก็คุมเอาตัวพระยาตะนาวศรีมาถวายยังค่ายหลวง สมเด็จพระเอกาทศรถให้ลงพระอาญาเฆี่ยนยกหนึ่งสามสิบที แล้วบอกข้อราชการเข้ามายังกรุงศรีอยุธยา
     สมเด็จพระนเรศวรเป็นเจ้าทรงมีพระทัยปรีดาจึงทรงพระมหากรุณาให้มีตราตอบไปว่า อย่าให้เข้ามาเลย ให้ตระเวนแล้วตัดศีรษะเสียบประจานไว้อย่าให้ผู้ใดเอาเยี่ยงอย่าง และให้พระยาราชฤทธานนท์เป็นพระยาตะนาวศรี สมเด็จพระเอกาทศรถก็ตรัสตามพระราชบัญชาแห่งสมเด็จพระเชษฐาธิราชนั้นทุกประการ

จากหนังสือสานรอยบาทมหาราชพระองค์ดำ โดยลิงลมดำ






















วันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563

พระยาศรีไสยณรงค์น้อยใจ "กบฏ"

พระยาศรีไสยณรงค์จาก ok nation (จากภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช)
     
     ครั้นวันอังคาร ขึ้น 2 ค่ำ เดือน 5 ปีจอ จุลศักราช 960 พระพุทธศักราช 2141 กรมการเมืองกุยบุรีมีใบบอกเข้ามาว่า พระยาศรีไสยณรงค์ซึ่งให้ไปรั้งเมืองตะนาวศรีเป็นกบฏ เจ้าพระยาโกษาธิบดีกราบบังคมทูลนั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังคงแคลงพระทัยอยู่ ด้วยเคยช่วยงานพระราชสงครามสนองเบื้องยุคลบาทแต่ยังเป็นที่พระศรีถมอรัตน์ รบเคียงคู่พระชัยบุรีด้วยช้างเร็วม้าเร็วซุ่มตีทัพละแวกแตกที่ดงพระยากลางแต่ปีพระพุทธศักราช 2123 ครั้งแผ่นดินสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่1 สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงมหาธรรมราชาธิราช กระทั่งได้รับอวยยศเป็นพระยาศรีไสยณรงค์แม่ทัพหน้าคราวมหาสงครามยุทธหัตถี อาจเป็นด้วยน้อยใจที่พระราชมนูขุนศึกนเรศวร คนรุ่นหลังที่เพิ่งจะรับราชการงานสงครามครั้งสำคัญที่ปากน้ำพุทราเมื่อปีพระพุทธศักราช 2129 แต่กลับได้รับพระราชทานยศข้ามไปถึงชั้นเจ้าพระยา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงโปรดให้มีตราออกไปหาตัว แต่พระยาศรีไสยณรงค์ก็มิเข้ามา จึงตรัสให้สมเด็จพระอนุชาธิราชเจ้าเสด็จนำทัพออกไป และสมเด็จพระเอกาทศรถพระอนุชาธิราชเจ้าเสด็จนำทัพออกไป
     และ สมเด็จพระเอกาทศรถพระอนุชาธิราชเจ้าเสด็จนำทัพออกไปครั้งนั้นพลสามหมื่น ช้างเครื่องสามร้อย ม้าห้าร้อย เกณฑ์ทัพปักษ์ใต้ เมืองไชยา เมืองชุมพร เมืองคลองวาน เมืองกุย เมืองปราณ เมืองเพชรบุรี หกเมืองเป็นคนหมื่นห้าพันเข้าบรรจบประชุมทัพที่บางสะพานแล้วเคลื่อนออกทางด่านสิงขร เมื่อพระยาตะนาวศรีแจ้งข่าวสมเด็จพระเอกาทศรถยกมาก็เกรงพระเดชานุภาพเป็นอันมาก จะแต่งทัพออกรับก็เหลือกำลัง จะหนีก็หนีไม่พ้น จนด้วยความคิดนิ่งอยู่
     สมเด็จพระเอกาทศรถเมื่อเสด็จถึงตะนาวศรีก็ตรัสสั่งให้ตั้งค่ายล้อมเมืองไว้โดยรอบ แต่ทัพหลวงนั้นตั้งห่างห้าสิบเส้น แล้วมีหนังสือรับสั่งเข้าไปว่า "พระยาตะนาวศรีเป็นข้าหลวงเดิมซื่อสัตย์มั่นคง โดยเสด็จงานพระราชสงคราม ความชอบแต่ครั้งหลังมากมายนัก จึ่งทรงให้กินเมืองตะนาวศรีนี้ดูแลเมืองต่างพระเนตรพระกรรณก็ด้วยเหตุว่าเป็นเมืองหน้าศึก ครั้นจักแต่งผู้อื่นมาอยู่ก็มิวางพระทัย ความข้อนี้ย่อมรู้อยู่แก่ใจ เมื่อมีข่าวไปว่าพระยาตะนาวศรีเป็นกบฏ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็มิทรงเชื่อ มีตราออกมาให้หาก็มิไปเข้าเฝ้า เนื้อความจึงมากขึ้น ตรัสให้เราออกมา ก็มีความเมตตาหนักอยู่ พระยาตะนาวศรีผิดแต่เพียงครั้งเดียวดอก ให้ออกมาหาเราในวันนี้เถิด จะกราบทูลขอพระราชทานอภัยโทษไว้ครั้งหนึ่ง" พระยาตะนาวศรีแจ้งดังนั้น จึงคิดว่าเราได้ทำการล่วงเกินผิดถึงเพียงนี้แล้ว หนังสือมาเช่นนี้คงเป็นราชอุบายออกไปก็คงจะตาย ผิดชอบชั่วดีก็จะอยู่สู้ไป ถึงตายก็ให้ปรากฏชื่อไว้ภายหน้า พระยาตะนาวศรีจึงมิได้ออกมา

จากหนังสือสานรอยบาทมหาราชพระองค์ดำ โดยลิงลมดำ ติดตามตอนต่อไป











วันพุธที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2563

เมื่อพระยาสวรรคโลก กับพระยาพิชัยเป็นกบฏ

     ในพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาที่วัดศรีชุมเมื่อสมเด็จพระนเรศวรทรงเกณฑ์พลครั้งนั้น ทรงทราบว่า พระยาสวรรคโลก กับพระยาพิชัยเป็นกบฏ จึงให้รวบรวมกองทัพที่เมืองตาก แล้วยกไปทางด่านลานหอย ครั้นถึงเมืองสุโขทัย ทรงให้ตั้งพลับพลาที่ข้างวัดศรีชุม ตั้งพิธีศรีสัจปานการ ตักน้ำในบ่อพระสยมภูวนาถ และน้ำจากกระพังโพยศรี ซึ่งถือว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ครั้งพระร่วง มาทำน้ำพิพัฒน์สัตยา ให้นายทัพนายกองตลอดจนไพร่พลถือน้ำให้สัตย์สัญญาว่าจะต่อสู้ข้าศึกรักษาบ้านเมืองไทยไว้ไห้จงได้ แล้วจึงเคลื่อนทัพหลวงขึ้นไปทางเขาคับถึงเมืองสวรรคโลก เมื่อวันศุกร์ ขึ้น15 ค่ำ เดือนแปด ตั้งทัพที่ตำบลวัดไม้งาม ล้อมเมืองไว้ ตรัสสั่งข้าหลวงร้องประกาศว่า ให้พระยาทั้งสองออกมาถวายบังคม จะทรงพระกรุณาไม่เอาโทษ แต่พระยาทั้งสองกลับฆ่าหลวงปลัด ขุนยกกระบัตร ขุนนครนายก ซึ่งมิปลงใจด้วย ตัดศรีษะโยนออกมาให้ข้าหลวง สมเด็จพระนเรศวรทรงพระพิโรธเป็นยิ่งนัก ครั้นเพลาค่ำก็ตรัสสั่งให้ยกเข้าปล้นเมือง ทางประตูสามเกิด ประตูม่อ และประตูสะพานจันทร์ ตั้งแต่ค่ำจนเที่ยงคืนก็เข้าเมืองมิได้
     คุณลักษณะ "แม่ทัพ" ตามตำราพิชัยสงคราม ประการที่หนึ่ง
     ...หาเทศกาลวารอันดี ฤกษนาทีจงชอบ กอบด้วยจักรลักษณา เพลาฤกษยามไชย อาไศรยโหรเปนตา...
     สมเด็จพระนเรศวรจึงมีตรัสถามโหราจารย์ว่า "เมืองสวรรคโลกนี้ ยังจะได้อยู่หรือ" พระโหราจารย์กราบทูลว่า "จะได้พระพุทธเจ้าข้า แต่เมืองสวรรคโลกนี้มีป้อมปราการแข็งแรงทำด้วยศิลาแลง ชื่อเมืองศรีสัชนาลัย แต่ครั้งสมเด็จพระร่วงเจ้า ซึ่งเข้าปล้นด้านประตูสามเกิดนี้เห็นจะได้ด้วยยาก หากเข้าปล้นทางประตูดอนแหลมไซร้เห็นจะได้โดยง่าย ด้วยทิศข้างนั้นเป็นอริแก่เมือง" สมเด็จพระนเรศวรจึงมีรับสั่งให้ตั้งค่ายประชิด ปลูกหอรบให้สูงเท่ากำแพงเมือง 
     ครั้นเพลาพลบค่ำจึงมีพระราชโองการให้พระยาชัยบุรี ขุนหลวงธรรมไตรโลก ขุนราชวรินทร์ เอาปืนขึ้นตั้งยิง แล้วยกพลจากประตูสะพานจันทร์มาตั้งด้านประตูดอนแหลม รุ่งขึ้นวันอาทิตย์ แรม 2 ค่ำ เดือนแปด ทัพหลวงเข้ามาตั้งประชิดประตูดอนแหลมแล้วเร่งแต่งการปล้นเมือง ครั้นวันจันทร์แรมสามค่ำเดือนแปด เพลาชายแล้วสองนาฬิกาห้าบาท ทหารก็กรูกันเอาบันไดพาดกำแพงเข้าเผาประตูดอนแหลมทางด้านใต้ทลายลง กองทัพหลวงเข้าเมืองได้ จับเอาตัว พระยาสวรรคโลก พระยาพิชัย มาถวายสมเด็จพระนเรศวร
     ถึงตอนนี้ผู้เขียน กฤษฎา ได้รับชมละครทางช่องสาม สมเด็จพระนเรศวร รับบทโดยคุณเอกพันธ์ บันลือฤทธิ์ มีรับสั่งให้คุมตัวพระยาทั้งสองมาคุกเข่าต่อหน้าพระที่นั่ง และประกาศไม่ให้คนไทยเอาเยี่ยงอย่างพระยาทั้งสอง และได้ประหารโดยการตัดคอโดยพระองค์เอง 
     
อ้างอิงจากหนังสือสานรอยบาทมหาราชพระองค์ดำ โดยลิงลมดำ






















กรมหลวงโยธาเทพ

กรมหลวงโยธาเทพ ภายหลังออกพระนามว่า สมเด็จพระรูปเจ้า มีพระนามเดิมว่า พระสุดาเทวี (คำให้การชาวกรุงเก่า) หรือ เจ้าฟ้าสุดาวดี (พ.ศ. 2199—2278) เ...