วันพฤหัสบดีที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2564
กรมหลวงโยธาเทพ
กรมหลวงโยธาเทพ ภายหลังออกพระนามว่า สมเด็จพระรูปเจ้า มีพระนามเดิมว่า พระสุดาเทวี (คำให้การชาวกรุงเก่า) หรือ เจ้าฟ้าสุดาวดี (พ.ศ. 2199—2278) เป็นพระราชธิดาในสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งประสูติแต่พระมเหสีฝ่ายขวา พระองค์มีบทบาทด้านการค้าค่อนข้างสูงในรัชสมัยของพระราชบิดา และได้รับพระราชทานให้ดำรงพระอิสริยยศเป็น "กรมหลวงโยธาเทพ" และคงมีพระอำนาจสูงมาก โดยจดหมายเหตุลาลูแบร์กล่าวว่าพระองค์ "...ทรงพระเกียรติยศและเสด็จประทับ ณ พระมนทิราลัยเยี่ยงพระอัครมเหสี..." และบางครั้งชาวตะวันตกก็เรียกแทนพระองค์ว่าเป็น "ราชินี"
พระองค์มีบทบาทอย่างสูงเนื่องจากทรงมีส่วนริเริ่มการปฏิวัติผลัดแผ่นดิน ทั้งยังมีความสัมพันธ์อันดีกับแพทย์หลวงชาวฝรั่งเศสที่ชื่อดาเนียล บรูชบูรด์ ผู้ที่ถูกกล่าวโทษว่าวางยาลอบปลงพระชนม์สมเด็จพระนารายณ์ แต่ท้ายที่สุดพระองค์ก็ตกเป็นเหยื่อของเหตุการณ์นี้เสียเองทั้งที่ไม่เต็มพระทัยนัก ด้วยการเป็นพระมเหสีฝ่ายซ้ายของสมเด็จพระเพทราชา แต่หลังสิ้นรัชกาลสมเด็จพระเพทราชา พระองค์และกรมหลวงโยธาทิพได้ถวายบังคมออกจากพระบรมมหาราชวังมาประทับและดำรงพระชนม์อย่างสงบด้วยการผนวชเป็นรูปชี แต่นั้นเป็นต้นมาชาววังได้ออกพระนามว่า "สมเด็จพระรูปเจ้า" และดำรงพระชนม์เรื่อยมาจนกระทั่งสวรรคตในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ เมื่อปี พ.ศ. 2278
พระประวัติ
คำให้การชาวกรุงเก่าระบุว่า กรมหลวงโยธาเทพมีพระนามเดิมว่าพระสุดาเทวี เป็นพระราชธิดาเพียงพระองค์เดียวในสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ที่ประสูติแต่พระกษัตรีย์พระมเหสีฝ่ายขวา (บางแห่งออกพระนามว่า เจ้าฟ้าสุริยงรัศมี) หรือพระอัครมเหสี เรื่องราวเบื้องต้นของพระองค์ปรากฏใน คู่มือทูตตอบ เขียนขึ้นโดยราชบัณฑิตไม่ปรากฏนามในสมัยกรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ. 2224 โดยในเนื้อความได้กล่าวถึงพระราชโอรส-ธิดาในสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีเนื้อความระบุว่า ขณะนั้นพระราชธิดามีพระชนมายุได้ 25 พรรษา จึงสันนิษฐานว่าพระองค์ประสูติในปี พ.ศ. 2199
พระองค์เป็นพระราชธิดาที่โปรดปรานของพระราชบิดา หากมีผู้ใดเสกสมรสด้วยกับเจ้าฟ้าพระองค์นี้ก็ย่อมได้รับสิทธิธรรมเหนือราชบัลลังก์มากขึ้นด้วย และด้วยความที่เป็นพระราชธิดาที่ทรงโปรดปราน สมเด็จเจ้าฟ้าสุดาวดีจึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็น เจ้าฟ้าต่างกรม เป็นพระองค์แรก ๆ พร้อมกับสมเด็จเจ้าฟ้าศรีสุพรรณ กรมหลวงโยธาทิพ พระขนิษฐาของสมเด็จพระนารายณ์ ที่ได้รับการจัดตั้งจากเหล่าขุนนางข้าราชการเช่นกัน ซึ่งกรมหลวงโยธาทิพเป็นพระราชธิดาในสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง และเป็นพระขนิษฐาในสมเด็จพระนารายณ์ โดยในเรื่องราวดังกล่าวสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงนิพนธ์ไว้ในหนังสือตำนานวังหน้าเกี่ยวกับที่มาของเจ้าต่างกรม ความว่า
แต่เดิมมาขัตติยยศ ซึ่งสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินทรงตั้งเจ้านายนั้น เป็นตำแหน่งเฉพาะพระองค์ เช่นเป็นพระราเมศวร พระบรมราชา พระอินทราชา พระอาทิตยวงศ์ ส่วนพระองค์หญิงก็มีพระนามปรากฏเป็น พระสุริโยทัย พระวิสุทรกษัตรีย์ เป็นต้น ครั้นในแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มีเหตุเป็นอริกับพระเจ้าน้องยาเธอ จึงไม่ได้สถาปนาขัตติยยศพระองค์หนึ่งพระองค์ใด พระราชโอรสก็ไม่มี (มีจดหมายเหตุฝรั่งกล่าวว่า เมื่อพระอัครมเหสีทิวงคต สมเด็จพระนารายณ์มีพระราชประสงค์จะให้ข้าราชการในพระมเหสีคงอยู่แก่เจ้าฟ้าพระราชธิดา) จึงโปรดให้รวบรวมข้าราชการจัดตั้งขึ้นเป็นกรมกรมหนึ่ง เจ้ากรมเป็นที่หลวงโยธาเทพ ให้ขึ้นอยู่ในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าสุดาวดีราชธิดา และให้จัดตั้งอีกกรมหนึ่ง เจ้ากรมเป็นที่หลวงโยธาทิพ ให้ขึ้นอยู่ในสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าศรีสุพรรณอย่างเดียวกัน เจ้าฟ้าทั้งสองพระองค์นั้นจึงปรากฏพระนามตามกรมว่า เจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาเทพพระองค์ ๑ เจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาทิพพระองค์ ๑ เป็นปฐมเหตุที่จะมีเจ้านายต่างกรมสืบมาจนทุกวันนี้
ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
สมเด็จพระนารายณ์ตามจินตนาการของชาวฝรั่งเศส
สมเด็จเจ้าฟ้าน้อย พระราชอนุชาในสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงมีน้ำพระทัยและจรรยามารยาทละมุนละไมเป็นที่นิยมชมชอบของผู้คนในราชสำนักและราษฎรทั่วไป สมเด็จพระนารายณ์เองก็ทรงรักพระอนุชาองค์นี้ประดุจพระโอรส จึงมีพระราชดำริที่จะสถาปนาให้เป็นองค์รัชทายาท และยกสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงโยธาเทพ พระราชธิดาเพียงพระองค์เดียวของพระองค์ให้เป็นพระชายา จนถึงขั้นมีการเตรียมการจัดงานอภิเษกสมรส อีกทั้งเจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาเทพเองก็มีพระปรารถนาอย่างลึกซึ้ง แต่ความหวังก็พังพินาศลงในกาลต่อมา เนื่องจากเจ้าฟ้าน้อยทรงลอบเป็นชู้กับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ (แจ่ม) พระสนมเอกของสมเด็จพระนารายณ์ ภายหลังท้าวศรีจุฬาลักษณ์ถูกลงโทษด้วยการโยนให้เสือกิน ส่วนเจ้าฟ้าน้อยได้รับโทษโบย จนเป็นอัมพาตที่พระชิวหา บ้างก็ว่าทรงแสร้งเป็นใบ้
ต่อมาสมเด็จพระนารายณ์มหาราช มีพระราชประสงค์ให้กรมหลวงโยธาเทพ อภิเษกสมรสกับพระปีย์ พระราชโอรสบุญธรรม แต่กรมหลวงโยธาเทพไม่ทรงยินยอมพร้อมพระทัยด้วย และพระองค์ทรงยึดมั่นในพระราชดำริเดิมที่จะอภิเษกสมรสกับเจ้าฟ้าน้อย และทรงขัดขืนพระราชประสงค์ของพระบิดา โดยปรากฏในบันทึกความทรงจำของบาทหลวง เดอะ แบส เกี่ยวกับชีวิตและการมรณกรรมของก็องสตังซ์ ฟอลคอน ความว่า
ฝ่ายเจ้าฟ้าหญิงนั้น ครั้นทรงได้รับแจ้งพระราชดำริ ก็ทรงไม่ยินยอมพร้อมพระทัยด้วย ชะรอยจะทรงมีความหยิ่งในราชสมภพ ดังที่เธอทรงแสดงอยู่ให้ประจักษ์ จึงไม่อาจลดพระองค์ลงมาอภิเษกกับบุคคลในชั้นไพร่ได้ หรือชะรอยจะเป็นดังที่คนทั้งหลายเข้าใจกันอยู่ กล่าวคือเธอมีน้ำพระทัยโน้มน้าวและผูกพันในทางอภิเษกสมรสมาแต่ก่อนกับพระปิตุลา [สมเด็จเจ้าฟ้าน้อย] อยู่แล้ว ...เธอก็ยังทรงยึดมั่นในพระราชดำริดั้งเดิมของในหลวงที่จะอภิเษกเธอให้แก่เจ้าชายองค์นั้นอยู่เสมอ แต่เรื่องได้ดำเนินไปอย่างลับ ๆ ดังที่กระผมได้ยินเขาพูดกันมา ว่าแม้ในหลวงหรือ มร.ก็องสตังซ์ [เจ้าพระยาวิชาเยนทร์] ก็มิได้ล่วงรู้ระแคะระคายเลย ในหลวงทรงขัดพระทัยเป็นอันมาก ในการที่พระราชธิดาทรงขัดขืนพระราชประสงค์อย่างหนักแน่น ไม่ทรงยินยอมอภิเษกสมรสกับพระปีย์...
ในช่วงปลายรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์ กรมหลวงโยธาเทพมิเคยปรากฏพระองค์ให้ชาวยุโรปคนใดพบเห็นเลย จึงเชื่อว่าในช่วงเวลานั้นพระองค์ทรงถูกหน่วงเหนี่ยวกักขังไว้ด้วยเช่นกันกับพระอนุชาของสมเด็จพระนารายณ์ด้วยเหตุผลทางการเมือง ในช่วงปลายรัชกาลของพระบรมชนกนาถ กรมหลวงโยธาเทพมีพระราชดำรัสสั่งให้ขับไล่คริสต์ศาสนิกชนออกจากราชอาณาจักร ชาวคริสต์จึงถูกจับใส่ตรวน ซึ่งรวมไปถึงสมเด็จพระสังฆราช เดอ เมเตลโลโปลิส เว้นแต่บาทหลวงคณะเยสุอิตที่ได้รับเสรีภาพและได้รับอนุญาตให้เข้าพบและปลอบโยนผู้จองจำ แต่หลังการลอบปลงพระชนม์เจ้าฟ้าน้อย กรมหลวงโยธาเทพโทมนัสนัก เพราะทรงสงวนพระองค์สำหรับอภิเษกสมรส กรมหลวงโยธาเทพทรงรู้สึกผิดหวังที่ต่อต้านฝรั่งเศส โดยนายพลเดฟาร์ฌระบุว่า "...ท้ายที่สุดก็ทรงเลือกที่จำดำรงพระชนม์อยู่ในฐานะพระมเหสีมากกว่าจะสิ้นพระชนม์อย่างไร้ความสุข พระราชพิธีอภิเษกสมรส [กับสมเด็จพระเพทราชา] ไม่ได้จัดขึ้นก่อนที่พวกเรา [นายพลเดฟาร์ฌ] จะเดินทางออกไป"
หลังการผลัดแผ่นดินและปลายพระชนม์ชีพ
วัดเตว็ด
หลังจากการสวรรคตของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช สมเด็จพระเพทราชาได้ครองราชย์สืบมา และได้ทรงอภิเษกกรมหลวงโยธาเทพขึ้นเป็นพระมเหสีฝ่ายซ้ายเพื่อสิทธิธรรมแห่งราชบัลลังก์ ซึ่งกรมหลวงโยธาเทพเองเป็นผู้มีส่วนริเริ่มการปฏิวัติผลัดแผ่นดิน และตกเป็นเหยื่อของเหตุการณ์นี้เสียเองทั้งที่ไม่เต็มพระทัยต่อพระเพทราชานัก นอกจากนี้สมเด็จพระเพทราชาได้สั่งให้ปลงพระชนม์พระอนุชาสองพระองค์ของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช การที่ได้กรมหลวงโยธาเทพที่ทรงเป็นสมเด็จพระมเหสีฝ่ายซ้าย จึงทำให้พระเพทราชามีสิทธิธรรมในราชบัลลังก์สมบูรณ์มากขึ้น เมื่อครบถ้วนทศมาสกรมหลวงโยธาเทพก็ได้ให้พระประสูติกาลพระราชโอรสพระนามว่าตรัสน้อย โดยพระราชพงศาวดาร ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ระบุว่าตรงกับเวลารุ่ง เดือน 10 ปีมะเส็ง จ.ศ. 1051 แต่พระราชพงศาวดาร ฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพน ฉบับตัวเขียน ระบุว่าเป็นปีมะโรง จ.ศ. 1050 (พ.ศ. 2231)
แต่เดิมพระองค์ประทับอยู่ในพระตำหนักคูหาสวรรค์หรือพระตำหนักตึกภายในพระที่นั่งบรรยงก์รัตนาสน์ พระราชวังหลวงอยุธยา หลังจากสมเด็จพระเพทราชาเสด็จสวรรคต พระองค์และเจ้าฟ้าตรัสน้อยทรงย้ายไปประทับ ณ พระตำหนักใกล้วัดพุทไธศวรรย์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเชื่อว่าประทับดังกล่าวปัจจุบันคือวัดเตว็ด เนื่องจากเป็นโบราณสถานที่ตั้งอยู่ไม่ไกลไปจากวัดพุทไธศวรรย์ (ว่ากันว่ากรมหลวงโยธาเทพ ทรงเกรงว่าเจ้าฟ้าตรัสน้อยอาจไม่ปลอดภัยจากสมเด็จพระเจ้าเสือ เช่นเดียวกับเจ้าพระขวัญ จึงทรงให้ไปผนวช comment by krisda) ส่วนพระตำหนักคูหาสวรรค์ได้กลายเป็นที่ประทับของพระมเหสีองค์อื่น ๆ ของราชวงศ์บ้านพลูหลวงต่อไป พระองค์ทรงดำรงพระชนมชีพอย่างสงบสุข จนกระทั่งเสด็จสวรรคตเมื่อปี พ.ศ. 2278 สิริพระชนมายุได้ 79 พรรษา ในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ืขณะที่ผนวชเป็นรูปชี โดยจดหมายเหตุเรื่องสมเด็จพระบรมศพ ระบุว่า
"วัน ๒ ๕ฯ ๖ จุลศักราช ๑๐๙๗ ปีเถาะสัพศก เพลาย่ำฆ้องค่ำแล้ว ๓ บาท สมเด็จพระรูปเจ้าเสด็จนิพพาน ณ วัดพุทไธสวรรย์ฯ [สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ] เสด็จลงไป ณ พระศพ จึงทรงฯ สั่งว่าให้เชิญสมเด็จพระบรมศพขึ้นไปไว้ ณ พระที่นั่งไพชยนต์มหาปราสาทนั้นแล..."
การนี้สมเด็จพระเจ้าบรมโกศโปรดเกล้าฯ ให้ทำพระเมรุขนาดน้อย ขื่อ 5 วา 2 ศอก แล้วเชิญพระศพขึ้นพระมหาพิชัยราชรถแห่ไปยังพระเมรุ ถวายพระเพลิงหน้าพระศพ พระสงฆ์ 10,000 รูป สดับปกรณ์ 3 วัน ที่มาวิกิพีเดียสารานุกรมเสรี รูปวัดเตว็ด
วันศุกร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2564
กรมหลวงโยธาทิพ
กรมหลวงโยธาทิพ มีพระนามเดิมว่า เจ้าฟ้าศรีสุวรรณ บ้างออกพระนามว่า พระราชกัลยาณี (พ.ศ. 2181–2258) เป็นพระราชธิดาในสมเด็จพระเจ้าปราสาททองและเป็นพระราชขนิษฐาในสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ภายหลังได้เป็นที่พระอัครมเหสีฝ่ายขวาในสมเด็จพระเพทราชา ประสูติการพระราชโอรสพระองค์หนึ่งพระนามเจ้าพระขวัญ
พระนาม
คำให้การขุนหลวงหาวัด ออกพระนามว่าศรีสุวรรณ หรือนางอุบลเทวี
คำให้การชาวกรุงเก่า ออกพระนามว่าอุปละเทวี
พระราชพงศาวดาร ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ออกพระนามว่าเจ้าฟ้าทอง หรือพระราชกัลยาณี
พระราชประวัติ
พระชนม์ชีพตอนต้น
กรมหลวงโยธาทิพ มีพระนามเดิมว่าศรีสุวรรณ เป็นพระราชธิดาในสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง และมีพระชนนีองค์เดียวกันกับสมเด็จพระนารายณ์มหาราช คำให้การชาวกรุงเก่า ระบุว่าพระชนนีของสมเด็จพระนารายณ์ชื่อพระสุริยา ขณะที่ คำให้การขุนหลวงหาวัด ระบุพระนามว่าพระอุบลเทวี ส่วนหม่อมหลวงมานิจ ชุมสาย ระบุว่าพระชนนีเป็นพระราชเทวีชื่อศิริธิดา ในช่วงที่สมเด็จพระนารายณ์และสมเด็จพระศรีสุธรรมราชาคิดยึดอำนาจสมเด็จเจ้าฟ้าไชย สมเด็จพระนารายณ์ก็ทรงพาพระราชกัลยาณีหนีออกไปด้วยกัน สมบัติ พลายน้อย อธิบายว่ากรมหลวงโยธาทิพน่าจะประสูติในปี พ.ศ. 2181 หย่อนพระชันษากว่าพระเชษฐา 6 ปี และมีพระชันษา 18 ปีเมื่อพระเชษฐาเสวยราชย์ กล่าวกันว่ากรมหลวงโยธาทิพมีพระสิริโฉมงดงามเป็นที่ประจักษ์ ใน พระราชพงศาวดาร ฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพน ระบุไว้ว่า "...พระราชกัลยาณีน้องพระนารายณ์ราชนัดดา ทรงพระรูปสิริวิลาสเลิศลักษณะนารี..."
หลังการยึดอำนาจจากสมเด็จเจ้าฟ้าไชย ในรัชกาลสมเด็จพระศรีสุธรรมราชา พระเจ้าอาว์ ทรงต้องพระทัยในรูปลักษณ์ของพระราชกัลยาณีและมีพระราชประสงค์จะเสพสังวาส พระราชกัลยาณีไหวตัวทัน ทรงบอกให้เหล่าพระสนมช่วย ทรงซ่อนตัวในตู้พระสมุดแล้วนางสนมให้หามไปยังพระราชวังบวรสถานมงคลที่สมเด็จพระนารายณ์ประทับอยู่ เสด็จขึ้นเข้าเฝ้าสมเด็จพระนารายณ์ ทรงกันแสงและทูลเรื่องราวทั้งหมด เมื่อสมเด็จพระนารายณ์ฟังความเช่นนั้นก็ทรงกล่าวด้วยความน้อยพระทัยว่า
อนิจจา พระเจ้าอาเรานี้ คิดว่าสมเด็จพระบิตุราชสวรรคตแล้ว ยังแต่พระเจ้าอาก็เหมือนหนึ่งพระบรมราชบิดายังอยู่ จะได้ปกป้องพระราชวงศานุวงศ์สืบไป ควรหรือมาเป็นได้ดังนี้ พระองค์ปราศจากหิริโอตตัปปะแล้ว ไหนจะครองสมบัติเป็นยุติธรรมเล่า น่าที่จะร้อนอกสมณชีพราหมณ์อาณาประชาราษฎรไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินเป็นแท้ จะละไว้มิได้ ด้วยพระองค์ก่อแล้วจำจะสานตามเถิด จะเสี่ยงเอาบารมีเป็นที่พึ่ง
หลังจากนั้นสมเด็จพระนารายณ์จึงรวมขุนนางต่อสู้ยึดอำนาจ และสามารถจับกุมสมเด็จพระศรีสุธรรมราชาได้ จึงนำไปสำเร็จโทษ ณ วัดโคกพระยาตามโบราณราชประเพณี
เมื่อสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเสวยราชย์ พระราชกัลยาณีได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นกรมหลวงโยธาทิพ คู่กับเจ้าฟ้าสุดาวดี พระราชธิดา ที่ได้รับการสถาปนาเป็นกรมหลวงโยธาเทพ คู่กัน พระองค์คอยอุปถัมภ์ค้ำชูพระราชอนุชาทั้งสองพระองค์คือเจ้าฟ้าอภัยทศ และเจ้าฟ้าน้อย ทรงสามารถทูลคัดง้างสมเด็จพระนารายณ์มหาราชในกรณีที่ทรงลงทัณฑ์เจ้าฟ้าน้อยเรื่องทำชู้กับพระสนม โดยทรงกล่าวกับสมเด็จพระนารายณ์มหาราชว่า "[อย่าได้มี] พระโทสจริตโดยลงโทษเอาให้ถึงแก่ชีวิตเลย ขอเพียงให้ทรงลงทัณฑ์เสมอที่บิดาทำต่อบุตรเท่านั้นเถิด"
ปลายพระชนม์
พระราชพงศาวดาร ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ว่าสมเด็จพระเพทราชาตั้งพระองค์เป็นพระอัครมเหสีซ้าย ส่วน คำให้การชาวกรุงเก่า และ คำให้การขุนหลวงหาวัด ระบุว่าเป็นพระอัครมเหสีฝ่ายขวา (สมัยพระนารายณ์เป็นเจ้า พระเพทราชา น่าจะมีใจต่อพระราชกัลยานีอยู่บ้างนะผมว่า หนังสือศิลปวัฒนธรรมบอกว่าพระเพทราชามีความสุขุมนุ่มลึกเป็นอันมาก ท่านอาจเก็บความรู้สึกนี้ไว้ภายใน ถึงแม้เป็นกษัตริย์แล้ว กว่าจะได้เชยชมพระราชกัลยาณีต้องใช้เวลาหลายวันเพราะแรก ๆ ไม่ทรงยอม แต่ท่านก็ยินดีรอ comment by krisda) มีพระราชโอรสเพียงพระองค์เดียวคือเจ้าพระขวัญ แต่พระราชโอรสพระองค์นี้ก็อยู่ให้ชื่นชมโสมนัสได้ไม่นาน ก็ถูกกรมพระราชวังบวรสถานมงคล (เดื่อ) ลวงไปสำเร็จโทษ สิ้นพระชนม์ก่อนการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระเพทราชาไม่นานนัก กรมหลวงโยธาทิพคงจะโทมนัสและตรอมพระทัยยิ่งนัก ทรงหันเข้าหาพระศาสนาเป็นที่พึ่ง ทรงทูลลาสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8 ออกไปตั้งตำหนักใกล้วัดพุทไธสวรรย์ และผนวชเป็นรูปชี
กรมหลวงโยธาทิพเสด็จสวรรคตในรูปชี (ในพงศาวดารฉบับพันจันทนุมาศใช้คำว่า เสด็จนิพพาน) ณ พระตำหนักริมวัดพุทไธสวรรย์ในปีมะแมสัปตศก สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระทรงโปรดเกล้าฯ ให้ทำพระเมรุมาศ ให้เชิญพระศพขึ้นพระมหาพิชัยราชรถแห่แหนด้วยดุริยางคดนตรีไปถึงพระเมรุมาศ มีการทิ้งทานต้นกัลปพฤกษ์และมีการเล่นมหรสพ พระสงฆ์สดัปกรณ์ 10,000 คำรบสามวัน แล้วถวายพระเพลิง ครั้นดับพระเพลิงแล้วจึงแจงพระรูป พระสงฆ์สดัปกรณ์อีก 100 รูป เก็บพระอัฐิในพระโกศน้อย แห่เข้ามาบรรจุไว้ท้ายจระนำในวิหารใหญ่วัดพระศรีสรรเพชญ์
จากวิกิพีเดียสารานุกรมเสรี ขอขอบคุณมา ณ.ที่นี้ ภาพจากเฟสบุคเพจอยุธยาชุดไทย ขอบคุณมากครับ Compiled by krisda paleeriam
วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2564
พระเจ้าล้านตื้อกลางแมน้ำโขง
พระเจ้าล้านตื้อกลางแม่น้ำโขง เป็นเรื่องเล่าขานมาเนิ่นนาน
ตื้อหมายถึงอะไร นายบุญส่ง เชื้อเจ็ดตน ประธานสภาวัฒนธรรมเชียงแสนบอกว่า เป็นจำนวนนับของคนเหนือโบราณคือ "หน่วย สิบ ร้อย พัน หมื่น แสน ล้าน โกฏิ ตื้อ"
ดังนั้น หนึ่งตื้อเท่ากับ 10 โกฏิ หรือ 100 ล้าน
ส่วนเสียงลือเสียงเล่าอ้างเรื่อง พระเจ้าล้านตื้อนั้น ขานกันว่าเป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่มาก อยู่ในวัดที่ตั้งอยู่ในเกาะกลางแม่น้ำโขง อาจจะเป็นวัดใดวัดหนึ่งบนเกาะกลางแม่น้ำโขง สืบมาเมื่อสภาพพื้นดินเปลี่ยนไป เกาะแก่งถูกน้ำพัดจมหาย พระพุทธรูปพลอยจมอยู่กลางแม่น้ำโขง
ยุคสมัยสร้างพระเจ้าล้านตื้อ อาจอยู่ช่วงใดช่วงหนึ่ง ตั้งแต่สมัย เชียงแสนยังเป็นอาณาจักร มีกษัตริย์ปกครองแว่นแคว้นของตนเอง
สมัยเชียงแสนเป็นแว่นแคว้น มีการสร้างพระเจริญรุ่งเรือง ในหนังสือพระพุทธรูปสำคัญของกรมศิลปากรระบุว่า พระพุทธรูปเชียงแสนเจริญรุ่งเรืองทางภาคเหนือของประเทศไทย ประมาณพุทธศตวรรษที่ 18-20 นักโบราณคดีแบ่งออกมาเป็น 2 รุ่น
1. พระพุทธรูปเชียงแสนรุ่นแรก อายุประมาณพุทธศตวรรษที่ 17-18 ลักษณะเด่นของพระยุคนี้คือ มีพุทธลักษณะคล้ายพระพุทธรูปอินเดียแบบปาละ สร้างด้วยศิลา โลหะ และปูนปั้น
2. พระพุทธรูปเชียงแสนรุ่นหลัง อายุประมาณพุทธศตวรรษที่ 18-21 มีพุทธลักษณะแบบล้านนาผสมกับอิทธิพลศิลปะสุโขทัย วัสดุใช้สร้างมีทั้งทำจากศิลา รัตนชาติ และปูนปั้น
ที่สำคัญ ส่งอิทธิพลต่อรูปแบบศิลปะแถบเมืองหลวงพระบาง เวียงจันทน์ จำปาสัก รวมทั้งอาณาจักรสุโขทัย
สำหรับร่องรอยพระเจ้าล้านตื้อ ที่เชื่อกันว่าอยู่ในแม่น้ำโขง 1. มาจากตำนานเล่าขานของชาวบ้าน 2. มีคนพบเปลวรัศมีเหนือพระเศียร เชื่อกันว่าเป็นของพระเจ้าล้านตื้อ และ 3. มีคำเล่าลือว่า มีคนทอดแหพบพระเศียร และเชื่อกันว่าเป็นของพระเจ้าล้านตื้อ
เกี่ยวกับหลักฐานทั้งหมด นายบุญส่งบอกว่า ที่เห็นเป็นรูปธรรมชัดเจนที่สุดก็คือ เปลวรัศมีเหนือพระเศียร ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑ์เชียงแสน จังหวัดเชียงราย ส่วนพระเศียรที่ว่าคนทอดแหเจอ รวมทั้งคำเล่าลือว่า คนลาวไปหาปลาเจอเสาวิหารในแม่น้ำโขงนั้น ยังไม่มีอะไรยืนยันได้ แน่นอน
อย่างไรก็ตาม เหตุผลทั้ง 3 ประการรวมกัน กลายเป็นความเชื่ออย่างจริงใจว่า พระเจ้าล้านตื้อต้องอยู่ในแม่น้ำโขง ทำให้เกิดคณะค้นหา แต่ต้องหยุดไป เพราะติดขัดเรื่องเกาะแก่งกลางแม่น้ำโขงนั้น เป็นของลาวตามสนธิสัญญาระหว่างสยาม-ฝรั่งเศส
ดังนั้น ขณะนี้เดือนมีนาคม พ.ศ.2553 พระเจ้าล้านตื้อจะมีจริงหรือไม่ จึงมิอาจยืนยันได้ด้วยหลักฐาน
ขณะที่ฝ่ายเชื่อว่ามีพระเจ้าล้านตื้อในแม่น้ำโขงเชื่อเต็ม 100 ก็มีเสียงคัดค้านว่าไม่มีพระเจ้าล้านตื้ออยู่จริง จากชาวเชียงแสนกลุ่มหนึ่ง
หนึ่งในจำนวนนั้นคือ นายนิกร เหล่าวานิช ประธานชมรม รักเชียงแสน บอกว่า อยู่เชียงแสนมาไม่น้อยกว่า 20 ปี สนใจเรื่องประวัติศาสตร์ และเรื่องพระกลางแม่น้ำโขงมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน จากการศึกษาด้วยตนเอง ทั้งตำราต่างๆ และเดินทางในพื้นที่ ไม่เชื่อว่าพระเจ้าล้านตื้อมีจริง
"ผมทราบแต่เพียงว่า เกาะดอนแท่นนั้น เป็นเกาะกลางแม่น้ำโขง เป็นเกาะศักดิ์สิทธิ์ พระมหากษัตริย์โบราณใช้เป็นสถานที่ทำพิธีทางศาสนากัน ไม่ว่าจะเป็นเผา พุทธาภิเษก ก็ทำกันที่บนเกาะ วัดบนเกาะนี้มีในตำราว่า มีการสร้างวัดไว้ 2 แห่งคือ วัดพระแก้วกับวัดพระคำ วัดพระแก้ว ตามหลักฐานบอกว่าห่างจากวัดพระคำไปทางใต้"
ดังนั้น "พระธาตุที่ผุดขึ้นมาที่เชียงแสนนั้น น่าจะเป็นพระธาตุวัดพระแก้ว อายุของพระที่ขุดได้ก็ใกล้เคียงกัน" นายนิกรบอก
บริเวณที่ลาวขุดพระได้ไปนั้น นิกรบอกว่า เดิมเป็นหมู่บ้านบนเกาะ เป็นดอนขนาดใหญ่ เมื่อน้ำหลากตลิ่งพัง ลาวเลยย้ายหมู่บ้านขึ้นไปบนดอนสวรรค์ เมื่อน้ำแห้งพระธาตุก็ผุดขึ้นมา และพบว่าพระธาตุมีพระอายุ ประมาณ 600-700 ปี
ส่วนเรื่องพระเจ้าล้านตื้อที่มีคนพบเปลวรัศมี แล้วนำมาไว้ที่พิพิธภัณฑ์เชียงแสนนั้น นายนิกรบอกว่า "เขาไม่ได้เอาขึ้นมาจากแม่น้ำโขง จริงๆแล้ว มันถูกทิ้งไว้ที่ซากวัดเค้า หลังเชียงแสนนี่เอง ผมทราบว่า ขโมยมันขนกันมาทางเรือ แล้วเอาพลอยสีไปหมด ปล่อยเปลวรัศมีทิ้งไว้ที่วัดร้าง เมื่อกรมศิลป์เข้ามาสำรวจ ก็เก็บเอามาไว้ที่วัดมุมเมือง ซึ่งอยู่ตรงสี่แยกไปรษณีย์เชียงแสน ต่อมาย้ายไปวัดเจดีย์หลวง แล้วหลังจากนั้นกรมศิลป์อัญเชิญเข้าพิพิธภัณฑ์"
ลักษณะของเปลวรัศมี "ผมว่าไม่ใช่ลักษณะของเชียงแสน แต่เป็นลักษณะพระทางพม่า คล้ายไปทางเชียงตุง ผมว่า คนเอาเรื่องเล่าคนหาปลา แล้วแหไปติดเศียรพระมาผูกเข้าเป็นเรื่องเดียวกัน"
เมื่อถามถึงคนเชียงแสนรุ่นเก่า กับเรื่องราวของพระเจ้าล้านตื้อ นายนิกรบอกว่า คนโยนกที่ย้ายถิ่นไปอยู่คูบัว จังหวัดราชบุรี สระบุรี เมื่อไปถามก็จะไม่มีใครทราบเรื่องนี้ "แต่ทำไมคนเชียงแสนที่ย้ายบ้านเข้ามาสมัย ร.5 ถึงรู้ คนที่ย้ายเข้ามาใหญ่นี้ เพราะรัชกาลที่ 5 ทรงเห็นว่ามีเงี้ยว เกรงว่าชนเผ่าจะยึดครองเชียงแสน เลยให้เจ้ากาวิละแห่งเมืองเชียงใหม่ อพยพผู้คนเข้ามาเชียงแสน สร้างครอบครัวกัน"
ดังนั้น "คนเชียงแสนในปัจจุบันอยู่กันมาไม่เกิน 170 ปี แล้วจะเห็นพระได้อย่างไร ในเมื่อคนที่อพยพไปไม่เคยเห็น ผมว่าเป็นเพราะชาวประมงบอกว่าเห็น แล้วก็เล่ากันไป นอกนั้นก็เป็นเรื่องของความฝัน"
เมื่อถามถึงความเป็นไปได้ เมื่อดูจากหลักฐานพื้นที่ นายนิกรบอกว่า เรื่องจะมีพระสำริดองค์ใหญ่นั้นเป็นไปได้ยาก เพราะสมัยก่อนวัสดุชนิดนี้หาไม่ง่าย "ผมคิดว่า พระประธานในโบสถ์เก่าๆของเชียงแสนเป็นปูนหมด ดูจากวัดทั้งหมดในเชียงแสนกว่า 150 วัด พระประธานเป็นปูน เศียรจะทำด้วยหินทรายทำให้คอหัก เพราะฉะนั้นสันนิษฐานว่า จะมีพระพุทธรูปสำริดใหญ่ขนาดนั้น ผมว่าไม่มี จะมีก็แต่เจ้าล้านทองซึ่งเป็นพระสิงห์หนึ่ง"
ตามประวัติการสร้าง พระเจ้าล้านทอง เป็นพระศิลปะล้านนา ปางมารวิชัย ขัดสมาธิราบ สร้างด้วยสำริด หน้าตักกว้าง 210 ซม. สูง 300 ซม. พระยาศิริรัชฎ์เงินกอง เจ้าเมืองเชียงแสนได้สร้างไว้เมื่อ พ.ศ. 2032
ปัจจุบันอยู่วิหารหลวง วัดพระเจ้าล้านทอง อำเภอเชียงแสน
"ผมว่า อาจเพราะมีพระเจ้าล้านทองนี้เอง คนเลยเอาไปคิดเทียบ แล้วบอกว่าเป็นพระเจ้าล้านตื้อ"
นายนิกรสรุปว่า เรื่องการค้นหาต่อไปนั้น ขอให้หยุดเสียดีกว่า เพราะการค้นหาแต่ละครั้งต้องใช้งบประมาณมาก แถมยังไม่ได้อะไร "ถ้าจะมีจริง ก็ขอให้ท่านอยู่อย่างนั้นเถอะ มีจริงหรือไม่จริง ไม่ต้องค้นพบก็ได้"
พระเจ้าล้านตื้อจะมีจริงหรือไม่ก็ตาม เมื่อไม่พบก็ได้แต่ค้างคาใจถ้าค้นพบขึ้นมาจะเป็นปัญหาใหญ่หรือไม่?
เพราะเราไม่อาจหลบทุ่นระเบิดเส้นแบ่งเขตแดน ที่นักล่าอาณานิคมบรรจงวางไว้.
ขอบคุณเรื่องและภาพ(พระเกศพระเจ้าล้านตื้อ)จากอินเตอร์เน็ต(ขออภัยที่ผมไม่ได้บันทึกที่มาไว้)
วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564
พระยาไชยสงคราม (ทิพย์ช้าง)
พระยาไชยสงคราม พระเจ้าทิพย์จักรสุละวะฤๅไชยสงคราม พระยาสุลวะลือไชยสงคราม หรือ พ่อเจ้าทิพย์ช้าง เป็นเจ้าผู้ครองนครลำปางในช่วง พ.ศ. 2275 - 2302 และต้นราชวงศ์ทิพย์จักร
พระประวัติ
พระยาสุลวะลือไชยสงคราม เดิมเป็นสามัญชนชาวบ้านปงยางคก (ปัจจุบันคือตำบลปงยางคก อำเภอห้างฉัตร) มีนามเดิมว่า "ทิพย์ช้าง" เกิดในราวปี พ.ศ. 2217 ได้บวชเรียนที่วัดปงยางคก และสึกออกมาประกอบอาชีพพรานป่า มีความเชี่ยวชาญการใช้อาวุธ และมีความสามารถในการขับไล่และตัดหางช้างที่มารบกวนพืชผลของชาวบ้านได้ ชาวบ้านจึงขนานนามว่า "หนานทิพย์ช้าง" (คำว่าหนานคือผู้เคยบวชเป็นพระภิกษุ ส่วนคำว่าน้อยคือผู้ที่เคยบวชเป็นสามเณร) หนานทิพย์ช้าง มีภรรยาคนหนึ่งชื่อ "นางปิมปา" ชาวบ้านหนาดคำ แคว้นบ้านเอื้อม (ปัจจุบันคือตำบลบ้านเอื้อม อำเภอเมืองลำปาง)
ในช่วงปลายของกรุงศรีอยุธยา นครเชียงใหม่เป็นเมืองขึ้นของพม่า ส่วนลำปางเป็นนครรัฐอิสระ กระทั่งท้าวหนานมหายศ เจ้าเมืองลำพูนยกทัพมาตีชนะเมืองลำปาง และตั้งศูนย์บัญชาการที่วัดพระธาตุลำปางหลวง เหล่าบรรดาประชาชนจึงได้ขอให้หนานทิพย์ช้าง นายพรานผู้เก่งกล้าและเชี่ยวชาญอาวุธปืนยาวและหน้าไม้ เป็นผู้นำในการกอบกู้นครลำปาง โดยสามารถรบชนะและสังหารท้าวมหายศได้ที่วัดพระธาตุลำปางหลวง ชาวเมืองจึงร่วมกันสถาปนาหนานทิพย์ช้าง ขึ้นครองนครลำปาง ในปี พ.ศ. 2275 มีพระนามว่า พระญาสุลวะลือไชย
ด้วยล้านนามีคติว่า "บ่ใจ้เจื้อเจ้าก่ออย่าหวังเป๋นพระญา บ่ใจ้เจื้อเสนาก่ออย่าหวังเป๋นอำมาตย์ บ่ใจ้เจื้อคนแกล้วอาจก่ออย่าหวังเป๋นขุนหาญ บ่ใจ้เจื้อนักก๋านก่ออย่าหวังเป๋นเถ้าแก่" หนานทิพย์ช้างซึ่งเป็นเพียงสามัญชนรู้สึกว่าตนเองไม่มีสิทธิธรรมในการปกครอง จึงต้องอาศัยความชอบธรรมโดยการแต่งตั้งของกษัตริย์พม่า หนานทิพย์ช้างได้ส่งเครื่องราชบรรณาการไปถวายพระเจ้ากรุงอังวะ และได้รับการเฉลิมพระนามจากพระเจ้ากรุงอังวะเป็นพระยาไชยสงคราม ในปี พ.ศ. 2278 บางตำราจึงมักออกพระนามรวมกันเป็นพระยาสุลวะลือไชยสงคราม หรือ พระเจ้าทิพย์จักรสุละวะฤๅไชยสงคราม พระองค์ปกครองนครลำปางได้ 27 ปี จึงถึงแก่พิราลัยในปี พ.ศ. 2302
พระราชบุตร
พระยาสุลวะลือไชยสงคราม มีพระราชโอรสและพระราชธิดา รวม 6 พระองค์ ตามรายพระนามดังนี้
1.เจ้าชายอ้าย
2.เจ้าฟ้าสิงหาราชธานีเจ้าฟ้าหลวงชายแก้ว เจ้าฟ้าเมืองลำปาง ในฐานะประเทศราชของพม่า (พ.ศ. 2302 - 2317) เป็นเจ้าราชบิดาในเจ้าเจ็ดตน
3.เจ้าหญิงคำทิพ
4.เจ้าหญิงคำปา
5.เจ้าชายพ่อเรือน เจ้าราชบิดาในพระยาพุทธวงศ์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ องค์ที่ 4 เจ้าบุรีรัตน์ (น้อยกาวิละ) และเจ้าราชวงศ์ (คำมูล)
6.เจ้าหญิงกม (กมลา)
อนุสาวรีย์
อนุสาวรีย์ ณ ตำบลพระบาท
อนุสาวรีย์พระยาสุลวะลือไชยสงคราม ตั้งอยู่ที่ริมถนนซุปเปอร์ไฮเวย์ลำปาง-งาว ตำบลพระบาท อำเภอเมืองลำปาง จังหวัดลำปาง โดยความดูแลของเทศบาลนครลำปาง ก่อสร้างขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติคุณของเจ้าหนานทิพย์ช้าง หรือพระยาสุลวะลือไชยสงคราม ในปี พ.ศ. 2527 โดยสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวราลงกรณ เสด็จทรงประกอบพิธีเททอง และสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเปิดอนุสาวรีย์ เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2527
โดยจะมีการจัดพิธีบวงสรวงในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ของทุกปี
อนุสาวรีย์ ณ วัดพระธาตุลำปางหลวง
วัดพระธาตุลำปางหลวง มีความสำคัญเชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์การต่อสู้ของพระยาสุลวะลือไชยสงคราม ดังปรากฏเป็นรอยกระสุนปืนของพระยาสุลวะลือไชยสงคราม บริเวณรั้วพระธาตุลำปางหลวง จึงได้มีการจัดสร้างอนุสาวรีย์พระยาสุลวะลือไชยสงคราม บริเวณลานหน้าวัดพระธาตุลำปางหลวง อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง
อนุสาวรีย์ ณ วัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม
อนุสาวรีย์เจ้าหนานทิพย์ช้าง ภายในบริเวณวัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม อำเภอเมืองลำปาง เป็นอนุสาวรีย์รูปปูนปั้นองค์ยืน ขนาดใกล้เคียงองค์จริง สองมือถือปืน ประทับในศาลาบริเวณลานหน้าวัดพระแก้วดอนเต้าสุชาดาราม
อนุสรณ์สถาน
สภาวัฒนธรรมจังหวัดลำปาง ได้ดำเนินการจัดสร้างอนุสรณ์สถานพระยาสุลวะลือไชยสงคราม บริเวณบ้านหนาดคำ ตำบลบ้านเอื้อม อำเภอเมืองลำปาง ซึ่งเป็นบ้านเกิดของแม่เจ้าปิมปามหาเทวี ในพระยาสุลวะลือไชยสงคราม และเป็นที่พำนักของหนานทิพย์ช้าง ก่อนจะขึ้นครองนครลำปาง
ภายในบริเวณอนุสรณ์สถานประกอบด้วย อาคารเรือนพ่อเจ้าทิพย์ช้าง เป็นอาคารเรือนไม้ยกพื้นสูง และอาคารแสดงนิทรรศการพ่อเจ้าทิพย์ช้าง ขอบคุณข้อมูลจากวิกิพีเดียสารานุกรมเสรี(ทั้งข้อมูลและภาพพระยาไชยสงคราม) เรียบเรียง by krisda paleeriam
วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564
พระเจ้าติโลกราช
พระเจ้าติโลกราช (พ.ศ. 1952–2030) พระมหากษัตริย์ล้านนาแห่งราชวงศ์มังรายพระองค์ที่ 9 ครองราชย์ พ.ศ. 1985–2030 พระนามเดิมคือ "เจ้าลก" เนื่องจากเป็นพระโอรสองค์ที่ 6 ในพญาสามฝั่งแกน (ลก ในภาษาไทเดิม มีความหมายว่า ลำดับที่ 6) ร่วมรัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถแห่งกรุงศรีอยุธยา
พระราชประวัติ
เจ้าลก เสด็จพระราชสมภพเมื่อ พ.ศ. 1952 เป็นพระโอรสลำดับที่ 6 ในพระเจ้าสามฝั่งแกน เมื่อทรงเจริญพระชันษาถึงกาลสมควร พระราชบิดาทรงพระกรุณาโปรดให้พระองค์เสด็จไปครองเมืองพร้าววังหิน (อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ในปัจจุบัน) ต่อมาเกิดราชการสงครามขึ้นแล้ว ทัพของเจ้าลก ยกไปสมทบพระราชบิดาช้า พระเจ้าสามฝั่งแกน จึงทรงลงพระราชอาญา เนรเทศให้เจ้าลกไปครองเมืองยวมใต้ (อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอนในปัจจุบัน)
ต่อมามีอำมาตย์ของพระเจ้าสามฝั่งแกนคนหนึ่งชื่อ "เจ้าแสนขาน" คิดเอาราชสมบัติให้เจ้าลก จึงได้ซ่องสุมกำลังลอบไปรับเจ้าลกจากเมืองยวมใต้มาซ่อนตัวไว้ที่นครเชียงใหม่ ในขณะที่พระเจ้าสามฝั่งแกนประทับแปรพระราชฐานอยู่ที่เวียงเจ็ดลิน การเริ่มชิงราชสมบัติทำโดยการเผาเวียงเชียงใหม่ แล้วบังคับให้พระเจ้าสามฝั่งแกนสละราชสมบัติ แล้วก็อัญทูลเชิญ เจ้าลกขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระเจ้าเชียงใหม่ในปี พ.ศ. 1985 มีพระนามว่า พระมหาศรีสุธรรมติโลกราช เมื่อมีพระชนมายุ 32 พรรษา ส่วนพระราชบิดาโปรดให้ไปประทับอยู่ที่เมืองสาด (อยู่ในรัฐฉาน ประเทศพม่า) แต่อยู่มาได้เพียง 1 เดือน 15 วัน เจ้าแสนขานก็คิดก่อการเป็นกบฏอีก พระเจ้าติโลกราชจึงให้ "หมื่นโลกนคร" พระเจ้าอาของพระองค์ ผู้ครองเมืองลำปาง เข้าจับตัวเจ้าแสนขานไปคุมขังแต่ไม่ให้ทำร้าย เมื่อพ้นโทษได้ลดยศเป็น "หมื่นขาน" และให้ไปครองเมืองเชียงแสน (อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ในปัจจุบัน) แทน
พระเจ้าติโลกราชทรงสร้างความมั่นคงภายในอาณาจักรล้านนาในช่วง 45 ปี (พ.ศ. 1985–2030) อาณาจักรล้านนาจึงมีความเข้มแข็ง สามารถยึดได้เมืองน่าน เมืองแพร่ จากนั้นจึงขยายอำนาจลงสู่ทางใต้ ทรงทำสงครามกับอยุธยาในสมัยพระเจ้าสามพระยาและสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถติดต่อกัน ในช่วงเวลา 24 ปี เริ่ม พ.ศ. 1994 พระยายุทธิษเฐียรเจ้าเมืองพิษณุโลกเข้าสวามิภักดิ์ ต่อพระเจ้าติโลกราชและร่วมกันตีได้เมืองปากยม (พิจิตรตอนใต้) จากนั้นใน พ.ศ. 2003 พระยาเชลียงก็เข้าสวามิภักดิ์ต่อพระเจ้าติโลกราช ในปีต่อมาพระยาเชลียงนำพระเจ้าติโลกราชมาตีเมืองพิษณุโลกและเมืองกำแพงเพชร แต่ไม่สำเร็จ
สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงแก้ไขการขยายอำนาจของพระเจ้าติโลกราช โดยเสด็จขึ้นมาครองเมืองพิษณุโลกใน พ.ศ. 2006 ในการทำสงครามกับล้านนา นอกจากใช้กำลังทหารโดยตรงแล้วทางอยุธยายังใช้พิธีสงฆ์และไสยศาสตร์ด้วย กล่าวคือ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเมื่อทรงออกผนวชใน พ.ศ. 2008 ก็ได้ทรงขอเครื่องสมณะบริขารจากพระเจ้าติโลกราช และระหว่างที่ผนวชก็ทรงขอบิณฑบาตเมืองเชลียงคืน แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ส่วนการใช้ไสยศาสตร์ก็ได้ส่งพระเถระชาวพม่ามาทำลายต้นนิโครธ (ต้นไทร) ซึ่งเป็นไม้ศรีเมือง ณ แจ่งศรีภูมิ ด้วยความเชื่อทางไสยศาสตร์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2017 สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงยึดเมืองเชลียงกลับคืนได้ และ พ.ศ. 2018 อยุธยาและล้านนาก็ทำไมตรีต่อกัน
อำนาจของพระเจ้าติโลกราชด้านตะวันออกตีได้เมืองน่านเป็นเมืองขึ้นเป็นครั้งแรกจรดกับเมืองหลวงพระบาง ซึ่งพระเจ้าติโลกราชได้ร่วมมือกับกองทัพจากเมืองหลวงพระบางเพื่อต่อต้านและขับไล่กองทัพไดเวียด ซึ่งทำสงครามขยายอิทธิพลรุกรานหลวงพระบางในปี พ.ศ. 2023 ซึ่งก่อนหน้านั้นหลวงพระบางถูกกองทัพไดเวียดโจมตีและรุกราน กองทัพล้านนาไปร่วมรบตอบโต้จนแม่ทัพล้านช้างสามารถขับไล่แม่ทัพฝ่ายไดเวียดพ่ายกลับไปซึ่งแม่ทัพไดเวียดหนีไปได้แต่ต่อมาไม่นานกลับถูกฟ้าผ่าจนถึงแก่อนิจกรรมในแดนแกว ทำให้ยุคนี้ล้านนากับล้านช้างเริ่มสานสัมพันธ์เป็นพันธมิตรที่หนี่ยวแน่นเป็นครั้งแรก ซึ่งส่งผลให้ยุคหลังเมื่อล้านนาถูกไทใหญ่และพม่ารุกรานยึดเมืองหลวงอย่างเชียงใหม่ พระเจ้ากรุงล้านช้างก็จะไปช่วยล้านนาต่อต้านขับไล่ออกไปจนสำเร็จ (แต่ในส่วนของพงสาวดารล้านช้างและอยุธยาไม่มีการกล่าวถึงว่าล้านนาเคยยกทัพไปช่วยล้านช้างขับไล่ไดเวียดแต่อย่างใด แต่กลับปรากฏว่าล้านช้างสามารถขับไล่กองทัพไดเวียดที่ยึดเมืองหลวงพระบางได้ด้วยกองกำลังของตัวเองหรืออาจได้รับความช่วยเหลือจากกองกำลังของอยุธยามากกว่าจะเป็นล้านนา อีกทั้งในพงสาวดารล้านช้างและอยุธยากล่าวตรงกันว่า อยุธยาเป็นผู้แต่งตั้งเจ้าซายขาวเป็นกษัตริย์ล้านช้าง ให้นามว่า เจ้าสุวรรณบัลลังก์ เนื่องจากพระเจ้าซายดำหรือพระเจ้าไชยจักรพรรดิแผ่นแพ้วแห่งล้านช้างผู้เป็นพระบิดาของเจ้าซายขาวที่พึ่งสิ้นพระชนม์ที่เมืองเชียงคานเป็นเครือญาติกับพระเจ้าบรมไตรโลกนาฎแห่งกรุงศรีอยุธยาทางฝ่ายพระมารดา ซึ่งทางฝ่ายอยุธยาได้ส่งไปเป็นพระมเหสีต่อพระเจ้าสามแสนไทไตรภูวนาฎ อีกทั้งในพงสาวดารล้านช้างไม่มีการกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างล้านช้างและล้านนาแม้แต่น้อย แต่กลับกลายเป็นอยุธยาแทนซึ่งเนื้อหาในพงสาวดารของทั้งสองฝ่ายก็ตรงกันในหลายๆส่วน) ส่วนอำนาจอาณาเขตด้านตะวันตกขยายออกไปถึงรัฐฉาน ได้เมืองไลคา เมืองนาย เมืองสีป้อ เมืองยองห้วย เป็นต้น พระเจ้าติโลกราชได้กวาดต้อนครัวเงี้ยวเข้ามาไว้ในล้านนาถึงหมื่นคนเศษ ด้านเหนือตีได้เมืองเชียงรุ่ง เมืองยอง และได้กวาดชาวลื้อ บ้านปุ๋ง เมืองยองมาไว้ที่ลำพูน
พระราชกรณียกิจ
พระเจ้าติโลกราช เป็นพระมหากษัตริย์นักรบที่ทรงพระปรีชาสามารถได้แผ่ขยายอำนาจของกรุงราชธานีเชียงใหม่ไปทั่ว 57 หัวเมืองขึ้น ครอบคลุมทิศเหนือจรดเมืองเชียงรุ่ง (จิ่งหง) มณฑลยูนนาน ประเทศจีน เมืองเชียงตุง เมืองยอง (รัฐฉาน ประเทศพม่า) เมืองนาย เมืองไลค่า เมืองเจียงตอง เมืองปั่น เมืองยองห้วย เมืองสุ เมืองจีด เมืองกิง เมืองลอกจอก เมืองสีป้อ เมืองจาง รวมกว่า 11 เมืองทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำสาละวิน (รัฐฉาน พม่า) ทิศตะวันออกตีได้เมืองน่านจรดกับล้านช้าง ทิศใต้จรดขอบแดนอยุธยา แนว ตาก เถิน ศรีสัชนาลัย (สุโขทัย) ลับแล แพร่ น่าน อาณาจักรล้านนาในรัชกาลของพระองค์เป็นยุคทอง รุ่งเรืองสูงสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้รับการรับรองจากคนกลาง "โอรสแห่งสวรรค์"จักรพรรดิ์จีนแห่งราชวงศ์หมิง ซึ่งบันทึกไว้ใน"หมิงสื่อลู่"เป็นเอกสารโบราณประจำรัชกาลที่มีความน่าเชื่อถือมากที่สุดแห่งราชสำนักจักรพรรดิจีน และ ดร.วินัย พงศรีเพียร นักประวัติศาสตร์ผู้เรืองนาม ได้แปลไว้ในเอกสารชื่อ "ปาไป่สีฟู่ ปาไป่ต้าเตี้ยน" (คณะกรรมการสืบค้นประวัติศาสตร์ไทยในเอกสารภาษาจีน สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี จัดพิมพ์ในโอกาสเชียงใหม่มีอายุครบ 700 ปี ใน พ.ศ. 2539) บันทึกว่า จักรพรรดิ์จีนยกย่องให้พระเจ้าติโลกราชเป็น "ตาวหล่านนา"หรือท้าวล้านนาและพระราชทานเครื่องประกอบเกียรติยศมากมายนอกจากนี้ยังสถาปนาพระเกียรติยศเป็นลำดับ"สอง" รองจากองค์จักรพรรดิ์จีน ซึ่งตรงกับเอกสารของพม่าที่บันทึกสมัยอยุธยาก่อนกรุงแตกครั้งที่ 2 เมื่อ พ.ศ. 2305 ชื่อว่า "Zinme Yazawin (Chronicle of Chiang Mai หรือตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ ฉบับพม่า) ดังความว่า ที่ใดก็ตามที่ปรากฏศัตรูขึ้นในแปดทิศของจักรพรรดิ์อุทิปวาผู้ปกครองทุกสิ่งภายใต้สวรรค์ ให้ท้าวล้านนาเจ้าฟ้าแห่งเมืองเชียงใหม่มีอำนาจที่จะปราบปรามและลงโทษศัตรูนั้นได้... (Wherever enemies appeae in the eight directions of the Empire of the Utipwa,who Rules All under Heaven ,Thao Lan Na , Chaofa of Chiang Mai with his forecs shall subdue and punish them.) และทรงให้ราชสมญานามพระเจ้าติโลกราชว่า "ราชาผู้พิชิต", "ราชาแห่งทิศตะวันตก" (Victorious Monarch, King of the West) โดยให้เสนาบดีผู้ใหญ่ควบคุมเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ตราพระราชลัญจกร พระสุพรรณบัตร เครื่องประกอบเกียรติยศมากมาย ทองคำแท่ง 100 ตำลึง เดินทางมาถึงเชียงใหม่ ทำพิธีอย่างยิ่งใหญ่ อลังการ นอกนั้นพระราชกรณียกิจที่สำคัญพระองค์ทรงเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภก จึงทำให้รัชกาลของพระองค์พระพุทธศาสนารุ่งเรืองสูงสุด พระสงฆ์แตกฉานภาษาบาลี มีการตรวจชำระพระไตรปิฎก หรือสังคายนา เป็นครั้งที่ 8 ของโลก ณวัดเจ็ดยอด อ.เมืองเชียงใหม่ ในปี พ.ศ. 2020 ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลบวชกุลบุตรเป็นพระภิกษุจำนวน 500 รูปในอุทกสีมาหรืออุปสมบทกลางแม่นำปิงตามอย่างลัทธิลังกาวงค์ ในปี พ.ศ. 1990 เมื่อพระราชบิดา พระเจ้าสามฝั่งแกนสวรรคต จึงจัดการพระราชทานเพลิงพระศพแล้วสถาปนาพระสถูปบรรจุพระอัฐิไว้ ณ ป่าแดงหลวง ( อยู่เชิงดอยสุเทพ ในบริเวณ ม.เชียงใหม่) โดยบุทองแดงแล้วปิดทองทั้งองค์ เมื่อเสร็จงานในปีเดียวกันก็ออกผนวชโดยให้พระมารดาว่าราชการแทนพระองค์ ทั้งนี้เพื่อศึกษาปฏิบัติพระธรรมวินัย ต่อมาเมื่อพระมารดาสิ้นพระชนม์ก็ถวายพระเพลิง ณ สถานที่เดียวกันกับพระบิดา แล้วสถาปนาที่นั้นเป็นพระอารามในปี พ.ศ. 1994 โดยทรงขนานนามว่าวัดอโสการามวิหาร ลุถึงปี พ.ศ. 1998 โปรดให้สร้างวัดโพธารามวิหาร หรือวัดเจดีย์เจ็ดยอด
ตลอด 46 ปีของรัชกาลพระเจ้าติโลกราช มีการทำสงครามขยายพระเดชานุภาพนับได้ หลายครั้ง ดังนี้
ปราบหัวเมืองฝางที่แข็งเมืองเจ้าเมืองหนีไปพึ่งบารมีเจ้าเมืองเทิง (อ.เทิง จ.เชียงราย) แต่ถูกประหารชีวิตต่อหน้าเจ้าเมืองเทิง เป็นการกระทำที่ไม่ไว้หน้าเจ้าเมืองเทิง จึงส่งสารลับแจ้งให้อยุธยายกทัพมาตีเชียงใหม่ นับว่าเป็นปฐมเหตุแห่งศึกสิงห์เหนือ เสือใต้ (เชียงใหม่ -อยุธยา) ยืดเยื้อยาวนาน ถึง 18 ปีจนสิ้นรัชกาลทั้งพระเจ้าติโลกราชกับพระเจ้าสามพระยาและพระเจ้าบรมไตรโลกนาถ
อยุธยามาตีเมืองเชียงใหม่ ตามที่เจ้าเมืองเทิงแปรพักตร์แจ้งให้ยกทัพมาชิงเมือง ผล อยุธยาถูกกลศึกตอบโต้โดนโจมตีแตกพ่าย ส่วนเจ้าเมืองเทิงถูกประหารชีวิต ตัดคอใส่แพหยวกกล้วยล่องนำปิง โดยมีนัยว่าเพื่อให้ไปถึงพระเจ้าอยุธยา (พระบรมราชาที่ 2 หรือเจ้าสามพระยา)
ปราบเมืองน่านที่แข็งเมือง พระญาเมืองน่านหนีไปพึ่งบารมีเจ้าเมืองเชลียงของอยุธยา
ขับไล่เมืองหลวงพระบางที่ยกทัพลอบโจมตีเมืองน่านส่งผลให้หลวงพระบางไม่มาบุกรุกเมืองน่านอีกต่อไป
ปราบเมืองยอง ไทลื้อ (รัฐฉาน พม่า)
ปราบเมืองเจียงตอง(รัฐฉาน) เมืองขรองหลวง เมืองขรองน้อย
ปราบเมืองเชียงรุ่ง หรือ เชอหลี่ใหญ่ หรือจิ่งหง- Jinghong (12 ปันนา มณฑลยูนนาน ประเทศจีน) เมืองลอง เมืองตุ่น เมืองแช่
ปราบเมืองเชียงรุ่งที่แข็งเมืองอีกครั้ง และเข้าตีเมืองอิง
ปราบเมืองนาย ไลค่า ล๊อกจ๊อก เจียงตอง เมืองปั่น หนองบอน ยองห้วย เมืองสู่ เมืองจีด เมืองจาง เมืองกิง จำคา เมืองพุย สีป้อ กวาดต้อนผู้คนจำนวน 12,328 คนมาใส่เมืองเชียงใหม่
ยกทัพไปตีเมืองไทใหญ่ ครั้นถึงเมืองหาง ทราบข่าวเวียดนามยกทัพ 400,000 นาย มาตีหลวงพระบาง และมาโจมตีเมืองน่านจึงยกทัพกลับมาช่วยเมืองน่าน เจ้าเมืองน่านต่อสู้อย่างทรหด รบชนะกองทัพมหาศาลของจักรพรรดิเลทันตองแห่งเวียดนาม ตัดศีรษะแม่ทัพ มาถวายเป็นจำนวนมาก พระเจ้าติโลกราชจึงมีพระบรมราชโองการให้อำมาตย์ผู้ใหญ่ควบคุมเชลยศึกเวียดนาม พร้อมศีรษะแม่ทัพ เดินทางไปยังกรุงปักกิ่ง เพื่อถวายแด่จอมจักรพรรดิ์ ในตอนแรกจอมจักรพรรดิจีนไม่เชื่อว่ากองทัพล้านนาจะต่อตีกองทัพจักรพรรดิ๋เลทันตองแห่งเวียดนามได้ เพราะกองทัพจีนเพิ่งรบแพ้แก่กองทัพเวียดนามมาหยก ๆ จอมจักรพรรดิ์จีนจึงมีพระบัญชาสั่งสอบสวนเชลยศึกเวียดนาม ทีเดียวพร้อม ๆ กันโดยแยกสอบสวนคนละห้อง เพื่อป้องกันมิให้เชลยศึกเวียดนาม บอกข้อมูลให้แก่กัน ผลการสอบสวน ตรงกันหมดว่ากองทัพที่ยิ่งใหญ่ของจักรพรรดิ์เลทันตองแห่งเวียดนาม พ่ายแพ้หมดรูปแก่กองทัพพระเจ้าติโลกราช ณ สมรภูมิที่ เมืองน่าน จักรพรรดิ์จีนถึงกับยกพระหัตถ์ทุบพระอุระ ตรัสด้วยพระสุระเสียงดังทั่วท้องพระโรงต่อหน้าเสนา อำมาตย์ ที่ชุมนุม ณ ที่นั้นว่า "เหวย ๆ ข้าคิดว่าในใต้หล้ามีเพียงข้าผู้เดียวที่มีเดชานุภาพมาก แต่บัดเดี๋ยวนี้มี ท้าวล้านนาพระเจ้าติโลกราช มีเดชานุภาพทัดเทียมข้า ข้าจึงแต่งตั้งให้ท้าวล้านนาเป็น "ราชาผู้พิชิตแห่งทิศตะวันตก"ให้เป็นใหญ่รองจากข้า มีอำนาจที่จะปราบปรามกษัตริย์น้อยใหญ่ที่ก่อการแข็งเมืองต่อข้า นับแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไป" พร้อมกับทรงส่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์และเครื่องประกอบเกียรติยศ กองทหารพร้อมเสนาบดีผู้ใหญ่ เดินทางมาประกอบพิธีที่เชียงใหม่อย่างยิ่งใหญ่ อลังการโดยทรงยกย่องให้เป็น "รอง" จักรพรรดิจีนแห่งราชวงศ์หมิง เป็น "ราชาผู้พิชิตแห่งทิศตะวันตก" (King of the West) ส่วนจักรพรรดิจีนเป็นจักรพรรดิแห่งทิศตะวันออกZinme Yazawin หรือ ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ ฉบับภาษาพม่า (พม่าเรียกเชียงใหม่ ว่า "Zinme ") นี้เป็นเอกสารสำคัญที่พม่าขณะเข้าปกครองเชียงใหม่ กว่า ๒๐๐ ปี ตั้งแต่บุเรงนอง ยาตราทัพเข้ายึดครองเชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ ๒๑๐๑ - ๒๓๑๗ และในรัชกาลต่อๆมาได้นำเอาเอกสารในราชสำนักราชวงศ์มังรายไปคัดลอกเป็นภาษาพม่า และนำกลับพม่า ต่อมาด้วยความร่วมมือของ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กับมหาวิทยาลัยย่างกุ้ง ได้แปลเป็นภาษาอังกฤษ ในชื่อว่า Zinme yazawin เมื่อ คศ. ๒๐๐๔ เอกสารฉบับนี้ทราบกันในหมู่นักวิชาการแคบๆเพียงไม่กี่คน ทราบว่ามีอยู่เพียง ๒๐ เล่มในขณะนั้น ปัจจุบันยังไม่มีการแปลเป็นภาษาไทย เนื่องจากข้อจำกัดทางด้านลิขสิทธิ์
ตีกำแพงเพชร (ชากังราว) แตก ส่งทัพหน้ามากวาดครัวถึงเมืองชัยนาท เข้าตีสุโขทัยมิได้ จึงถอยทัพกลับ
เจ้าเมืองเชลียงแห่งสุโขทัย มาสวามิภักดิ์
เจ้าเมืองพิษณุโลก หัวเมืองเหนือของอยุธยา มาสวามิภักดิ์ พร้อมนำไพร่พลเมือง ทหารกว่า 1 หมื่นคน มาอยู่ในเชียงใหม่ (แม่แบบ:Zinme Yazawin)
ยกทัพไปล้อมเมืองพิษณุโลก พระบรมไตรโลกนาถ ใช้กลศึกหลบหนีออกจากเมืองพิษณุโลกเวลาเที่ยงคืนและเดือนมืดสนิท ทางลำน้ำน่านกลับอยุธยา พระเจ้าติโลกราชทรงพระพิโรธ รับสั่ง ให้"ควักลูกตา "ทหารทุกนายที่ซุ่มล้อม ณ พื้นที่ลำน้ำน่าน "หมื่นด้งนคร"แม่ทัพใหญ่รุดเข้าเฝ้า กราบบังคลทูลถวายรายงานว่า พระบรมไตรโลกนาถ ใช้ "กลศึก" ตีสัญญาณ ฆ้อง กลองล่องเรือหนีมาตามลำน้ำน่านโดยให้จังหวะเคาะสัญญาณ เลียนแบบสัญญาณ ของ "มหาราชเชียงใหม่" ทุกประการ ประกอบกับเดือนมืด มองเห็นไม่ถนัด ทหารที่ซุ่มเฝ้าระวัง จึงไม่เฉลียวใจ ต่างคิดว่า เป็นเรือพระที่นั่งของพระเจ้าติโลกราช เสด็จ จึงไม่ยับยั้ง และข้าในฐานะแม่ทัพ ขอรับโทษแทนทหารชั้นผู้น้อยทั้งหมด หากจะควักลูกตาทหารผู้น้อย ก็ขอให้ควักลูกตาของข้าแต่เพียงผู้เดียว พระเจ้าติโลกราช ได้ฟังทหารเอกผู้ภักดี ยอมสละแม้กระทั่งลูกนัยตาของตัวเองเพื่อแสดงความรับผิดชอบ ปกป้อง รับแทนทหารลูกน้อง อีกทั้ง ความจงรักภักดีของหมื่นด้งนคร ที่มีต่อ มหาราชเชียงใหม่ รุกรบไปทั่วดินแดนใกล้ ไกล เคียงบ่า เคียงไหล่ ร่วมเป็น ร่วมตาย มาด้วยกัน นับครั้งไม่ถ้วน ทรงตรึกตรอง แล้วนิ่งเสีย ไม่ตรัสถึงอีกต่อไป ต่อมากองทหารม้าทัพหน้าไล่ตาม เรือพระที่นั่งของพระบรมไตรโลกนาถ ขณะยั้งพักที่ปากยม และกองทัพม้าได้รายล้อมทัพสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถไว้แล้ว จึงได้ส่งม้าเร็วรีบแจ้งขอรับพระบรมราชโองการจากพระเจ้าติโลกราช พระองค์ตรัสว่า "มันก็พญา (กษัตริย์) กู ก็ พญา กูแป้ (ชนะ) มัน มันก็ละอายแก่ใจแล้ว หมื่นด้ง มึงอย่าทำเลย" ต่อมากองทัพหน้าไปตีเมืองปากยม (พิจิตร)
แต่งให้หมื่นด้งนครไปตีเมืองเชลียง
อยุธยาถูกกลศึกผ่านสายลับที่ถูกจับได้ ให้เห็นกองทัพเชียงใหม่จะยกทัพไปทำศึกทางเหนือ จึงแจ้งให้อยุธยายกทัพมาชิงเอาเชียงใหม่ โดยเชียงใหม่รอซุ่มโจมตีที่ดอยขุนตาล (รอยต่อ ลำพูนกับลำปาง) ตีกองทัพอยุธยาแตกพ่าย ถูกไล่ติดตามตลอดทั้งคืนผ่านห้างฉัตร ลำปาง เด่นชัย จนถึงเขาพลึง (เขตต่อแดน แพร่กับอุตรดิตถ์) ครั้งนั้นพระอินทราชา พระราชโอรสในพระบรมไตรโลกนาถต้องปืนที่พระพักตร์
อยุธยา สบโอกาส กองทัพเชียงใหม่ยกขึ้นขึ้นเหนือไปตี เมืองพง ไทลื้อ (มณฑลยูนนาน ประเทศจีน) จึงยกทัพเข้าตีเมืองแพร่ ฝ่ายหมื่นด้งนคร ผู้รักษาเมืองเชียงใหม่ ยกทัพไปช่วยเมืองแพร่ป้องกันเมือง ครั้นกองทัพพระเจ้าติโลกราชเผด็จศึกเมืองพงไทลื้อ เสร็จแล้วจึงกลับยังไม่ทันถึงเชียงใหม่ ทราบข่าวจึงยกทัพหลวงไปช่วยเมืองแพร่ พระบรมไตรโลกนาถ ทรงเห็นกองทัพเชียงใหม่ใหญ่เกินกำลังจะต้านทานได้จึง ถอยทัพกลับ โดยทัพหลวงมหาราชเชียงใหม่ไล่ติดตามไปแต่ไม่ทัน จึงไม่ได้รบกัน ทัพหลวงผ่านเมืองเชลียงกลัวหายนะภัยจึงขอเป็นข้าราชบริภาร จากนั้นทัพมหาราชเชียงใหม่เข้าตีเมืองพิษณุโลกสองแคว แต่ไม่สำเร็จ จึงถอยทัพไปตีเมืองปางพล แล้วกลับผ่านเมืองเชลียง ลำปาง เชียงใหม่
ต่อมาเจ้าเมืองเชลียงเป็นกบถจึงให้หมื่นด้งนครยกทัพไปจับกุมตัวเจ้าเมืองเชลียงมายังเชียงใหม่ และเนรเทศไปอยู่เมืองหาง พร้อมกับแต่งตั้งให้หมื่นด้งนคร ครองเมืองเชลียง (สวรรคโลก) เพิ่มขึ้นอีกเมืองหนึ่ง
ต่อมาเชียงใหม่ถูกพระเถระพุกามที่รับจ้างจากอยุธยา มาเชียงใหม่ หลอกให้ตัดต้นไม้นิโครธ ไม้แห่ง "เดชเมือง" ซึ่งชาวเชียงใหม่สักการบูชาที่แจ่งศรีภูมิ จนบ้านเมืองปั่นป่วน ต่อมามีเหตุการณ์ไม่คาดคิด คือ พระเจ้าติโลกราช สั่งประหารท้าวบุญเรือง พระราชโอรสองค์เดียวที่ถูกท้าวหอมุก (นางสนม) ใส่ความว่าจะชิงราชบัลลังก์ ภายหลังทราบว่าพระโอรสบริสุทธิ์ ก็ทรงเสียพระทัย อีกทั้งทรงกริ้วและหวาดระแวงว่าหมื่นด้งนคร ทหารเอกคู่บัลลังก์ ที่ส่งให้ไปต้านทานกองทัพอยุธยาที่ชายแดนเมืองเชลียง เชียงชื่น (สวรรคโลก จ.สุโขทัย) จะแปรพักตร์ไปเข้าอยุธยา จึงเรียกตัวไปเชียงใหม่และถูกประหารชีวิต เมื่อทหารเอกคู่บัลลังก์หมื่นด้งนครถึงแก่อนิจกรรมแล้ว พระเจ้าติโลกราชจึงให้หมื่นแคว่นผู้ครองเมืองแจ้ห่ม (อ.แจ้ห่ม จ.ลำปาง) ไปครองเมืองเชียงชื่น (สวรรคโลก) แต่ถูกพระยาสุโขทัยยกทัพเข้าตี จนหมื่นแคว่นตายในที่รบ เมืองสุโขทัยจึงได้เมืองเชียงชื่นกลับคืน หลังจากอยู่ใต้ธงมหาราชเชียงใหม่ มายาวนาน 23 ปี อันเป็นต้นเรื่องและเป็นประเด็นหลักใน ลิลิตยวนพ่ายที่เทิดพระเกียรติสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ที่ตีเมืองเชลียง เมืองเชียงชื่นหรือเมืองสวรรคโลก (อดีตเมืองลูกหลวงของสุโขทัย) กลับคืนมาอยู่ใต้พระบรมโพธิสมภารได้อีกครั้งในปี พ.ศ. 2017
ศักราช 837 มะแมศก (พ.ศ. 2018) มหาราช (เชียงใหม่) ขอมาเป็นไมตรี...พงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์
นับจากนี้เป็นเวลา 12 ปีที่อาณาจักรทั้งสองเป็นมิตรมีไมตรีต่อกัน และมหาราชทั้งสองพระองค์ล่วงเข้าสู่วัยชรา มหาราชเชียงใหม่สวรรคตในปี 2030 ขณะพระชนมายุได้ 78 พรรษาครองราชย์ 46 ปีและตามติดกันในปีต่อมา มหาราชอยุธยา สวรรคตในปี 2031 ขณะพระชนมายุได้ 57 พรรษา ครองราชย์ 40 ปี....
การทำสงครามกับกรุงศรีอยุธยา
อาณาจักรล้านนาในสมัยพระเจ้าติโลกราช ได้ทำสงครามครั้งแรกกับอยุธยาในรัชกาลสมเด็จพระบรมราชาที่ 2 หรือเจ้าสามพระยา ต่อมาจึงทำสงครามกับพระบรมไตรโลกนาถหลายครั้งด้วยกัน ในปี พ.ศ. 1985 เจ้าเมืองเทิง แห่งอาณาจักรล้านนา (ปัจจุบันคือ อ.เทิง จังหวัดเชียงราย) ไม่พอใจที่ หมื่นโลกนคร แม่ทัพของพระเจ้าติโลกราช ติดตามไปฆ่าท้าวซ้อย เจ้าเมืองฝางที่แข็งเมืองและหลบหนีไปพึ่งบารมี จึงได้ขอสวามิภักดิ์ต่อกรุงศรีอยุธยาซึ่งตรงกับรัชสมัยของพระบรมราชาธิราช ที่ 2 (เจ้าสามพระยา) จึงทรงถือเป็นโอกาสเสด็จยกทัพไปตีนครเชียงใหม่ ในขณะเดียวกัน พระเจ้าติโลกราชได้จับเจ้าเมืองเทิงประหารชีวิต กองทัพอยุธยาได้ถูกกลศึกของฝ่ายเชียงใหม่ปลอมตัวเป็นตะพุ่นช้าง (คนหาอาหารให้ช้าง) ปะปนเข้าไปในกองทัพเจ้าสามพระยาเมื่อได้จังหวะยามวิกาลจึงตัดปลอกช้าง ฟันหางช้างจนช้างแตกตื่นแล้วฟันนายช้างตาย กองทัพเชียงใหม่ได้ยินเสียงอึกทึกก็ได้ทียกเข้าตีกองทัพกรุงศรีอยุธยาแตกพ่ายไป เจ้าสามพระยาได้พยายามอีกครั้งหนึ่งโดยยกทัพกรุงศรีอยุธยาเข้าตีเมืองเชียงใหม่แต่ประชวรสิ้นพระชนม์กลางทาง รวมการทำสงครามระหว่าง 2 อาณาจักร ยืดเยื้อยาวนานถึง 33 ปี (นับแต่ พ.ศ. 1985 สมัยพระเจ้าสามพระยา ถึง พ.ศ. 2018 สมัยพระบรมไตรโลกนาถ)
พระเจ้าติโลกราชแห่งอาณาจักรล้านนากับสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถแห่งอาณาจักรอยุธยา
ในสมัยของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. 1991 – พ.ศ. 2031) พระองค์ขึ้นครองราชย์ขณะพระชนมายุได้ 17 พรรษา และก่อนขึ้นครองราชย์ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถประทับอยู่ที่เมืองพิษณุโลก เมื่อขึ้นครองราชย์ได้เสด็จลงมาประทับที่กรุงศรีอยุธยา เป็นเหตุให้เจ้าเมืองต่าง ๆ ชิงอำนาจกันเอง และเจ้าเมืองพิษณุโลกสองแคว แปรพักตร์ไปสวามิภักดิ์พระเจ้าติโลกราชแห่งล้านนา จึงนำกองทัพมาตีเมืองต่าง ๆ ของอยุธยา คือ เมืองพิษณุโลกสองแคว เมืองปากยม (พิจิตร) เมืองชากังราว (กำแพงเพชร) เมืองสุโขทัย เมืองเชลียง (ศรีสัชชนาลัย) เมืองเชียงชื่น (สวรรคโลก) โดยได้เข้าตีเมืองสุโขทัยในปี พ.ศ. 1994 แต่เมื่อทรงทราบข่าวว่าพระเจ้ากรุงล้านช้างยกทัพมาประชิดแดนล้านนาเพื่อบุกตีเมืองน่านจึงโปรดให้ยกทัพกลับ แต่กองทัพกรุงศรีอยุธยาตามไปตีกองหลังของกองทัพพระเจ้าติโลกราชแตกที่ "เมืองเถิน"แตกพ่ายไป
ครั้นถึง พ.ศ. 2004 พระเจ้าติโลกราชยกทัพลงมาตีหัวเมืองตอนเหนือของอยุธยาอีก แต่บังเอิญพวกฮ่อ (จีน ยูนนาน) ยกกำลังมาตีชายแดนเชียงใหม่ก็จำต้องยกทัพกับไปรักษาเมืองขึ้นกับเชียงใหม่ อย่างไรก็ดี พระเจ้าติโลกราชได้ยกทัพมารุกรานหัวเมืองฝ่ายเหนือของอยุธยาอยู่เนือง ๆ เป็นเหตุให้สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงเปลี่ยนนโยบายเสด็จขึ้นไปประทับครองราชสมบัติเสีย ณ เมืองพิษณุโลกเมื่อ พ.ศ. 2006โดยยกฐานะเมืองพิษณุโลกเป็นเมืองหลวง เพื่อสะดวกในการจัดกำลังต่อตีทัพมหาราชฝ่ายเหนือ อีกทั้งยังทำหัวเมืองฝ่ายเหนือซึ่งมักแก่งแยกอำนาจกันและแตกออกจากฝ่ายกรุงศรีอยุธยามีความสามัคคีด้วยความยำเกรงสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระองค์ได้ประทับครองราชย์อยู่ที่เมืองพิษณุโลกจนสิ้นรัชกาล เมื่อ พ.ศ. 2031 แต่กระนั้นก็ยังต้องคอยสู้รบกับการรุกรานของพระเจ้าติโลกราชอยู่เรื่อยมารวม 27 ปี
การสงบศึกและเป็นพันธมิตร
ใน พ.ศ. 2008 ขณะพระชนมายุได้ 34 พรรษา สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถผนวชที่วัดจุฬามณี เมืองพิษณุโลก พระองค์ส่งราชทูตมายังเชียงใหม่เพื่อขอเครื่องอัฐบริขารพร้อมกับพระเถรานุเถระไปทำพิธีผนวชจากพระเจ้าติโลกราช (ขณะนั้นมีพระชนมายุ 56 พรรษา) จึงโปรดให้หมื่นล่ามแขกเป็นราชทูตพร้อมด้วยพระเทพคุณเถระและพระสงฆ์ 12 รูปลงมาเมืองพิษณุโลกเพื่อเข้าเฝ้าถวายเครื่องอัฐบริขารแด่สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ตามหลักฐานศิลาจารึกวัดจุฬามณี ที่บันทึกว่า " ศักราช 826 ปีวอกนักษัตร (พ.ศ. 2007) อันดับนั้น สมเด็จพระรามาธิบดีศรีบรมไตรโลกนาถบพิตรเปนเจ้า ให้สร้างอาศรมจุฬามณีที่จะเสด็จออกทรงมหาภิเนษกรม ขณะนั้น เอกราชทั้งสามเมืองคือ พระญาล้านช้าง แลมหาราชพระญาเชียงใหม่ แลพระญาหงสาวดี ชมพระราชศรัทธา ก็แต่งเครื่องอัฐบริขารให้มาถวาย" ในขณะผนวช 8 เดือน 15 วัน พระองค์ได้ทรงถือโอกาสส่งสมณะทูตชื่อโพธิสัมภาระมาขอเอาเมืองเชลียง -สวรรคโลกคืน เพื่อ"ให้เป็นข้าวบิณฑบาตร"จากพระเจ้าติโลกราชแต่พระเจ้าติโลกราชเห็นว่าเป็น"กิจของสงฆ์"จึงทรงนิมนต์พระมหาเถระฝ่ายอรัญวาสีทุกรูปมาประชุมเพื่อถวายข้อปรึกษา ครั้งนั้นมีพระเถระเชียงใหม่ชื่อสัทธัมมรัตตนะได้กล่าวกับโพธิสัมภาระสมณะทูตของอยุธยา ว่า" ตามธรรมเนียมท้าวพระญา (พระมหากษัตริย์) เมื่อผนวชแล้วก็ย่อมไม่ข้องเกี่ยวข้องในเรื่องบ้านเมืองอีก เมื่อสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถผนวชแล้วยังมาขอเอาบ้านเอาเมืองนี้ ย่อมไม่สมควร"พระบรมไตรโลกนารถได้ยินคำเหล่านั้น ก็นิ่งเก็บไว้ในใจ เมือทรงลาผนวชแล้วจึงได้ออกอุบายจ้างให้พระเถระพุกามรูปหนึ่งที่ทรงไสยคุณไปเป็นไส้สึกในเชียงใหม่ ทำไสยศาสตร์ ยุแยงให้พระเจ้าติโลกราช ทำลายสิ่งศักดิ์สิทธ์ของเมือง อาทิ ตัดโค่นไม้นิโครธประจำเมือง จนเกิดอาเพศ มีความระแวงสงสัยบรรดาข้าราชบริพาร จนถึงกับสำเร็จโทษท้าวบุญเรืองราชโอรสตามที่เจ้าจอมหอมุกใส่ความว่าจะชิงราชบัลลังก์ ครั้นทราบความจริงภายหลังทรงเสียพระทัยที่หลงเชื่อจนประหารราชโอรสพระองค์เดียว รวมทั้งการลงโทษหมื่นด้งนครผู้เป็นแม่ทัพเอกคู่บารมีผู้พิชิตเมืองเชลียง เชียงชื่น (ศรีสัชนาลัย สวรรคโลก ซึ่งเคยเป็นเมืองลูกหลวงของสุโขทัย) ที่ถูกใส่ความอีกด้วย ต่อมาสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ส่งราชทูตนำเครื่องราชสักการะมาเยือนเชียงใหม่ นัยว่ามาสืบราชการลับที่ จ้างพระเถระพุกามทำคุณไสย์แก่เชียงใหม่ ต่อมาพระเถระพุกามถูกจับและเปิดเผยความจริง จึงถูกลงราชทัณฑ์นำตัวใส่ขื่อคาไปทิ้งลงแม่นำปิงที่"แก่งพอก" เพื่อให้คุณไสย์ชั่วร้ายสนองคืนกลับแก่ผู้ที่สั่งมา
พระเจ้าติโลกราชทำสงครามกับพระบรมไตรโลกนาถต่อเนื่องมาเป็นเวลา 27 ปี ต่างพลัดกันรุกผลัดกันรับ ครั้งนั้นพระองค์ขยายอำนาจขึ้นไปทางทิศเหนือตีได้เมืองเชียงรุ้ง (เชอหลี่ใหญ่หรือจิ่งหง) สิบสองปันนา มณฑลยูนนาน ภาคใต้ของประเทศจีน ตีได้เมืองเชียงตุง (เชอหลี่น้อยหรือเขมรัฐ) ทิศตะวันตก ได้รัฐฉาน ฝั่งตะวันตกแม่น้ำสาละวิน ติดพรมแดนมู่ปางหรือแสนหวี คือเมืองสีป้อ เมืองนาย เมืองไลค่า เมืองเจียงตอง รวมกว่า 11 เมือง โดยเจ้าฟ้าเมืองต่าง ๆ นำไพร่พลเมืองมาพึ่งพระโพธิสมภารที่เชียงใหม่ 12,328 คน ทางทิศตะวันออกจรดล้านช้าง ประเทศลาว ทิศใต้จรด ตาก เชลียง (ศรีสัชนาลัย) เชียงชื่น (สวรรคโลก) ซึ่งอยู่ห่างจากสุโขทัยเพียง 60 กม.ต่อมา ในปี พ.ศ. 2018 พระเจ้าติโลกราชจึงทรงติดต่อกับฝ่ายกรุงศรีอยุธยาขอเป็นไมตรีกัน ฝ่ายกรุงศรีอยุธยาซึ่งบอบช้ำมากพอกันจึงรับข้อเสนอของพระเจ้าติโลกราช ในปลายสมัยของรัชกาลของทั้งสองพระองค์อาณาจักรล้านนากับกรุงศรีอยุธยาจึงมีความสงบเป็นไมตรีต่อกันจนสิ้นรัชกาลโดยพระเจ้าติโลกราชสวรรคตในปี พ.ศ. 2030 และให้หลังอีก 1 ปี สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถก็สวรรคต ในปี พ.ศ. 2031 เป็นการปิดฉาก ศึก 2 มหาราชแห่ง 3 โลก ("ติโลก""ไตรโลก"แปลว่า 3 โลกคือเมืองสวรรค์ เมืองมนุษย์ และเมืองนรก)
ศาสนา
ในรัชสมัยพระเจ้าติโลกราช พุทธศาสนามีความเจริญรุ่งเรือง พระองค์ทรงเลื่อมใสและทำนุบำรุงพุทธศาสนา ทรงสนับสนุนคณะสงฆ์สำนักวัดป่าแดง (ลังกาวงศ์นิกายสิงหลใหม่) ทรงนิมนต์พระมหาเมธังกรญาณแกนนำกลุ่มลังกาวงศ์ใหม่จากลำพูน มาจำพรรษาที่วัดราชมณเฑียร และทรงสถาปนาให้พระมหาเมธังกรญาณขึ้นเป็นพระมหาสวามี และส่วนของพระองค์เองก็ผนวชชั่วคราว ณ วัดป่าแดงมหาวิหาร การสนับสนุนสงฆ์ฝ่ายลังกาวงศ์สิงหล ทำให้ฝ่ายลังกาวงศ์ใหม่รุ่งเรืองมาก กุลบุตรมาบวชเป็นจำนวนมาก พระภิกษุในนิกายสิงหลเพิ่มขึ้นมาก นิกายสิงหลใหม่นี้เน้นการศึกษาภาษาบาลีและการปฏิบัติตามหลักพระธรรมวินัย การศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรมเจริญก้าวหน้าอย่างสูง และความขัดแย้งระหว่างลังกาวงศ์ใหม่สายสิงหล (วัดป่าแดง) และลังกาวงศ์เก่าสายรามัญ (วัดสวนดอก) ที่มีอยู่ในยุคนั้นก็ทำให้พระสงฆ์สายรามัญตื่นตัวพยายามศึกษาพระปริยัติเช่นกัน พระเจ้าติโลกราชทรงส่งเสริมการศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรมทรงยกย่องพระภิกษุที่มีความรู้แตกฉานในพระไตรปิฎก พระในสมัยนั้นจึงมีความรู้สูงที่ปรากฏมีชื่อเสียงมาก เช่น พระโพธิรังสี พระธรรมทินนเถระ และพระญาณกิตติเถระ เป็นต้น
ความเชี่ยวชาญในการรจนาคัมภีร์ภาษาบาลีและรอบรู้พระไตรปิฎกของพระเถระชาวล้านนาในยุคนั้น ได้ก่อให้เกิดการทำสังคายนาสอบชำระพระไตรปิฎกใน พ.ศ. 2020 ที่วัดมหาโพธาราม (เจ็ดยอด) ซึ่งใช้เวลา 1 ปีจึงเสร็จ นับเป็นการสังคายนาครั้งที่ 8 ของโลกและพระไตรปิฎกฉบับที่สอบชำระในสมัยพระเจ้าติโลกราชจึงถือเป็นคัมภีร์หลักฐาน สำคัญชิ้นหนึ่งของพุทธศาสนาในล้านนาที่สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
พระเจ้าติโลกราชทรงบำรุงพระสงฆ์ ถวายสมณศักดิ์แก่พระมหาเมธังกรญาณอาจารย์ของพระองค์เป็นที่ "พระอดุลศักตยาธิกรณมหาสามี" ทรงปรารถนาเป็นทายาทในศาสนาและสนองคุณพระชนนีจึงทรงมอบราชสมบัติแด่พระชนนี แล้วผนวชโดยมีพระอดุลศักตยาธิกรณมหาสามีเป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระญาณมงคลเถระเป็นพระอุปัชฌาย์ ผนวชอยู่ไม่นานก็ทรงลาผนวชออกมาครองราชย์ต่อ
การสร้างและบูรณะวัดสำคัญ ๆ ในรัชสมัยของพระเจ้าติโลกราช มีดังนี้ ในปี พ.ศ. 1999 โปรดให้สร้างวัดเป็นที่อยู่ของพระอุตตมปัญญาเถระ ที่ริมน้ำแม่ขาน (โรหิณี) โปรดให้ปลูกต้นโพธิ์ในอารามนั้นแล้วตั้งชื่อว่า วัดมหาโพธาราม จากนั้นสร้างสัตตมหาสถาน ในปีวอก พ.ศ. 2020 โปรดให้สร้างมหาวิหารในอารามนั้นและสร้างวัดราชมณเฑียร วัดป่าตาล วัดป่าแดงหลวงมหาวิหาร เป็นต้น ทรงบูรณะต่อเดิมเจดีย์หลวง ให้ใหญ่และสูงกว่าเดิม กว้างด้านละ 35 วา สูง 45 วา บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ในพระเจดีย์นั้น
ทรงสร้างโรงอุโบสถในวัดป่าแดงหลวง ซึ่งเป็นที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพของพระราชบิดา (พญาสามฝั่งแกน) และพระราชมารดา เมื่อสร้างพระอุโบสถเสร็จในวันมหาปวารณา จึงทรงร่วมพิธีผูกพัทธสีมาที่วัดป่าแดงนั้นด้วย ทรงอัญเชิญพระแก้วมรกต จากวัดพระธาตุลำปางหลวง นครเขลางค์ มาประดิษฐานไว้ที่ซุ้มจระนำด้านตะวันออกแห่งเจดีย์หลวง
ทรงมอบภาระให้สีหโคตรเสนาบดี (หมื่นด้ามพร้าคต) และอาณากิจจาธิบดีมหาอำมาตย์ ดำเนินการหล่อพระพุทธรูปแบบลวะปุระขนาดใหญ่ ด้วยทองสัมฤทธิ์หนักสามสิบสามแสน (=3,960 กิโลกรัม) ณ วัดป่าตาลมหาวิหารทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองเชียงใหม่ ซึ่งมีพระธรรมทินนมหาเถระเป็นเจ้าอาวาส และในยุคนั้นได้มีการสถาปนาความเชื่อเรื่องพระธาตุในที่ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในอาณาจักรโดยอาศัยความสัมพันธ์ทางศาสนาของคนในถิ่นต่าง ๆ โดยการสร้างตำนานเมืองและตำนานพระธาตุ ขึ้นอย่างแพร่หลาย
การสังคายนาชำระพระคัมภีร์พระไตรปิฏก
ที่วัดเจดีย์เจ็ดยอดนี้เองที่พระเจ้าติโลกราชโปรดให้ชุมนุมพระเถรานุเถระ โดยมีพระธรรมทินมหาเถระ เจ้าอาวาสวัดป่าตาลเป็นประธาน กระทำสังคายนาชำระพระคัมภีร์พระไตรปิฎกที่วัดโพธารามนี้ได้รับการยอมรับต่อเนื่องต่อเนื่องว่าเป็นการสังคายนาครั้งที่ 8 ในประวัติพระพุทธศาสนต่อจากที่ทำมาแล้ว 7 ครั้งในประเทศอินเดียและศรีลังกา โดยเรียกการสังคายนาครั้งที่ 8 ที่เชียงใหม่นี้ว่า “อัฏฐสังคายนา” ทำให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมากในสมัยนี้ จนเป็นที่เลื่องลือพระเกียรติยศไปทั่วประเทศข้างเคียง ทำให้พระเจ้าติโลกราชได้รับการเฉลิมพระปรมาภิไธยว่า “พระเจ้าศิริธรรมจักรวัติโลกราชามหาธรรมิกราช พระเจ้านครพิงค์เชียงใหม่”
การก่อสร้างและปฏิสังขรพระพุทธสถาน
เมื่อปี พ.ศ. 2022 พระเจ้าติโลกราชโปรดให้หมื่นด้ามพร้าคตเดินทางไปประเทศลังกาจำลองแบบโลหะปราสาทและมาก่อสร้างเป็นเจดีย์ 7 ยอด ณ วัดมหาโพธาราม (วัดเจ็ดยอด) และจำลองรัตนมาลีเจดีย์เพื่อนำแบบมาปฏิสังขรพระเจดีย์ใหญ่ที่วัดเจดีย์หลวงที่พระเจ้าแสนเมืองมา กษัตริย์องค์ที่ 7 แห่งราชวงศ์มังรายโปรดฯ ให้สร้างขึ้น พระเจดีย์ใหญ่องค์นี้จึงได้รับการขยายเสริมฐานให้กว้างเป็น 70 เมตร สูง 88 เมตร โปรดให้บรรจุพระบรมธาตุที่ได้มาจากลังกาไว้ในองค์พระเจดีย์นี้ พร้อมทั้งโปรดฯ ให้สร้างหอพระแก้วตามอย่างโลหะปราสาทที่ลังกา(ปัจจุบันซากกำแพงสองชั้นของหอพระแก้วร้างอยู่ใต้หอประวัติศาสตร์เมืองเชียงใหม่) แล้วอาราธนาพระแก้วมรกตในซุ้มจระนำทิศตะวันออก พระสิงห์ในซุ้มจระนำทิศเหนือและพระแก้วขาวมาไว้ในเจดีย์วัดเจดีย์หลวง
ในปี พ.ศ. 2025 โปรดฯ ให้อัญเชิญพระพุทธปฏิมากรแก่นจันทน์แดงจากวิหารวัดป่าแดงเหนือเมืองพะเยามาไว้ที่นครเชียงใหม่ โดยเสด็จไปรับด้วยพระองค์เองที่เมืองลำพูน ตลอดเวลาในช่วงปลายรัชกาล พระเจ้าติโลกราชได้สนพระทัยทะนุบำรุงพระศาสนาเป็นอันมาก ได้โปรดฯ ให้หล่อพระพุทธรูปทองคำองค์หนึ่งและโปรดฯ ให้บรรจุพระบรมธาตุ 500 องค์ ขนานนามว่า พระป่าตาลน้อย ประดิษฐานไว้ ณ วัดป่าตาลวัด ที่ซึ่งพระธรรมทินเถระผู้เป็นประธานในการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 8 เป็นเจ้าอาวาส
พระเจ้าติโลกราชเสด็จสวรรคตเมื่อ พ.ศ. 2030 พระชนมายุ 78 พรรษา (ก่อนสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถเพียงปีเดียวขณะพระชนมายุ 57 พรรษา) หลังครองราชย์มาเป็นเวลานานถึง 46 ปี พระองค์ได้ทรงสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่อาณาจักรล้านนาและนครเชียงใหม่มากที่สุดพระองค์หนึ่ง เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติแด่พระองค์ ทางราชการจึงได้ตั้งชื่อหอประชุมใหญ่ของจังหวัดเชียงใหม่ว่า “หอประชุมติโลกราช” (ปัจจุบัน อยู่ติดกับศาลากลางจังหวัด (หลังเก่า) ในวัดอินทขิลสะดือเมือง หรือบริเวณอนุสาวรีย์ 3 กษัตริย์) ใจกลางเมืองเชียงใหม่ ในช่วงรัชสมัยของพระองค์อาณาจักรล้านนาเจริญรุ่งเรืองและยังมีผลสืบเนื่องต่อมาถึงรัชสมัยของพญายอดเชียงราย และรัชสมัยของพระเมืองแก้ว (พระเจ้าภูตาธิปติราช หรือพระเจ้าติลกปนัดดาธิราช) ผู้เป็นเหลนของพระองค์ ในระหว่างปี พ.ศ. 2038-2068 อีกด้วย
ลำดับกษัตริย์ราชวงศ์มังราย
1 พญามังราย
พ.ศ. 1835 - 1854
2 พญาไชยสงคราม
พ.ศ. 1854 - 1868 (14 ปี)
3 พญาแสนภู
พ.ศ. 1868 - 1877 (11 ปี)
4 พญาคำฟู
พ.ศ. 1877 - 1879 (2 ปี)
5 พญาผายู
พ.ศ. 1879 - 1898 (19 ปี)
6 พญากือนา
พ.ศ. 1898 - 1928 (30 ปี)
7 พญาแสนเมืองมา
พ.ศ. 1928 - 1944 (16 ปี)
8 พญาสามฝั่งแกน
พ.ศ. 1945 - 1984 (39 ปี)
9 พระเจ้าติโลกราช
พ.ศ. 1984 - 2030 (46 ปี)
10 พญายอดเชียงราย
พ.ศ. 2030 - 2038 (8 ปี)
11 พญาแก้ว (พระเมืองแก้ว)
พ.ศ. 2038 - 2068 (30 ปี)
12 พญาเกศเชษฐราช (พระเมืองเกษเกล้า)
พ.ศ. 2068 - 2081 (13 ปี) ครั้งที่ 1
13 ท้าวซายคำ
พ.ศ. 2081 - 2086 (5 ปี)
พญาเกศเชษฐราช (พระเมืองเกษเกล้า)
พ.ศ. 2086 - 2088 (2 ปี) ครั้งที่ 2
14 พระนางจิรประภาเทวี
พ.ศ. 2088 - 2089 (1 ปี)
15 สมเด็จพระไชยเชษฐาธิราช
พ.ศ. 2089 - 2090 (1 ปี)
ว่างกษัตริย์ พ.ศ. 2090 - 2094 (4 ปี)
16 พระเมกุฏิสุทธิวงศ์ (ท้าวเม่กุ) พ.ศ. 2094 - 2107 ตั้งแต่ พ.ศ. 2101 ปกครองภายใต้อำนาจพม่า
17 พระนางวิสุทธิเทวี
พ.ศ. 2107 - 2121 ปกครองภายใต้อำนาจพม่า
ขอบคุณข้อมูลจากวิกิพีเดียสารานุกรมเสรีทั้งเรื่องและภาพ (ภาพพระกู่พระเจ้าติโลกราชวัดเจ็ดยอดจังหวัดเชียงใหม่) เรียบเรียง by krisda paleeriam
พญามังราย
พระนาม
"มังราย" เป็นพระนามที่ปรากฏในเอกสารชั้นต้นทุกชนิด ทั้งจารึก ใบลาน พงศาวดาร บทกฎหมาย บทกวี และอื่น ๆ ซึ่งรวมถึง จารึกวัดพระยืน (พ.ศ. 1912), จารึกวัดสุวรรณมหาวิหาร (พ.ศ. 1954), ตำนานมูลศาสนา (พ.ศ. 1965), ชินกาลมาลีปกรณ์ (พ.ศ. 2059), โคลงนิราศหริภุญไชย (พ.ศ. 2060), จารึกวัดเชียงมั่น (พ.ศ. 2124), และมังรายศาสตร์ (ไม่ปรากฏศักราช) โดยจารึกวัดพระยืน, จารึกวัดสุวรรณมหาวิหาร, ตำนานมูลศาสนา, ศิลาจารึกวัดเชียงมั่น, และมังรายศาสตร์ ระบุคำนำพระนามว่า "พญา" (เขียนแบบเก่าว่า "พรญา" หรือ "พรยา")
มีแต่พงศาวดารโยนก ที่พระยาประชากิจกรจักร์ (แช่ม บุนนาค) เขียนขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 แห่งกรุงสยาม และเอกสารสมัยหลังซึ่งอ้างอิงพงศาวดารโยก ที่ออกพระนามว่า "เม็งราย" โดยไม่ปรากฏเหตุผลที่พระยาประชากิจกรจักร์แก้พระนาม "มังราย" เป็น "เม็งราย" แต่อย่างในปัจจุบัน มีสถานที่หลายแห่งใช้ชื่อว่า "เม็งราย" เช่น ตำบลเม็งราย, อำเภอพญาเม็งราย, โรงเรียนเม็งรายมหาราชวิทยาคม, และค่ายเม็งรายมหาราช ในจังหวัดเชียงราย ตลอดจนวัดพระเจ้าเม็งราย ในจังหวัดเชียงใหม่
ส่วนการเปลี่ยนคำนำพระนาม "พญา" เป็น "พ่อขุน" นั้น เป็นผลงานของหลวงวิจิตรวาทการ (วิจิตร วิจิตรวาทการ) อธิบดีกรมศิลปากร ทั้งนี้ คำว่า "พ่อขุน" เป็นคำนำพระนามพระมหากษัตริย์กรุงสุโขทัยสมัยหนึ่ง แต่ไม่ปรากฏการใช้งานในทางประวัติศาสตร์ของภูมิภาคล้านนา
ต้นพระชนม์
พญามังรายเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าลาวเม็ง พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 24 แห่งหิรัญนครเงินยางเชียงลาว กับนางเทพคำข่าย พระราชธิดาของท้าวรุ่งแก่นชาย พระมหากษัตริย์แห่งเมืองเชียงรุ่งสิบสองพันนา
การขึ้นเป็นกษัตริย์
เมื่อพระราชบิดาสวรรคตใน พ.ศ. 1802 พญามังรายทรงขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แห่งหิรัญนครเงินยางเชียงลาวต่อ และมีพระราชประสงค์จะทรงรวบรวมหัวเมืองอิสระต่าง ๆ เข้าเป็นหนึ่งเดียว โดยทรงเริ่มจากทางเหนือก่อน แล้วขยายไปฝ่ายใต้
การสร้างเมืองเชียงราย
หลังจากทรงขึ้นครองราชย์ ณ หิรัญนครเงินยางเชียงลาวได้ราว 3 ปี พญามังรายทรงสร้างเมืองเชียงรายขึ้นเป็นศูนย์อำนาจใหม่ใน พ.ศ. 1805 และทรงสร้างเมืองฝางเมื่อ พ.ศ. 1816, ทรงสร้างเมืองชะแว ทางตะวันออกเฉียงเหนือของลำพูนเมื่อ พ.ศ. 1826, และทรงสร้างเวียงกุมกามเมื่อ พ.ศ. 1829 เมื่อสร้างเมืองใหม่แต่ละครั้ง พญามังรายจะประทับอยู่ที่เมืองนั้น ๆ เสมอ ซึ่งตามความเห็นของประเสริฐ ณ นคร แล้ว "คงมีพระประสงค์ที่จะสร้างชุมชนขึ้นใหม่ เพื่อรวบรวมผู้คนที่กระจัดกระจายกันอยู่ให้มาตั้งเป็นเมืองใหม่ขึ้น ในขณะเดียวกัน ก็ทรงแสวงหาชัยภูมิที่เหมาะสมจะเป็นเมืองหลวงถาวรของพระองค์ต่อไป"
นอกจากนี้ ยังทรงตีได้เมืองมอบ, เมืองไร, และเมืองเชียงคำ จึงมีหัวเมืองหลายแห่งมาขออ่อนน้อมเป็นเมืองขึ้น เช่น เมืองร้าง ต่อมาจึงเสด็จไปเอาเมืองเชียงของได้ใน พ.ศ. 1812 และเมืองเซริง ใน พ.ศ. 1818
ระหว่างประทับที่เวียงกุมกาม พญามังรายทรงให้ช่างก่อเจดีย์กู่คำ ณ วัดเจดีย์เหลี่ยม พญามังรายยังโปรดให้นายช่างชื่อ กานโถม สร้างวัดแห่งหนึ่งที่มีพระพุทธปฏิมากร 5 พระองค์สูงใหญ่เท่าพระวรกายของพระองค์ ตลอดจนมหาวิหารและเจดีย์อื่นอีกเป็นอันมาก นายช่างกานโถมปฏิบัติหน้าที่ได้เป็นที่พอพระราชหฤทัย จึงโปรดให้เขาไปครองเมืองรอย (ต่อมาสถาปนาเป็นเมืองเชียงแสน) และพระราชทานนามวัดนั้นว่า วัดกานโถม
การตีหริภุญไชย
พญามังรายมีพระราชประสงค์จะได้เมืองหริภุญไชย (ในจังหวัดลำพูนปัจจุบัน) เพราะเป็นเมืองมั่งคั่ง เป็นศูนย์การค้าระหว่างประเทศ ธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ ทั้งยังมีทางน้ำติดต่อถึงเมืองละโว้และเมืองอโยธยาด้วย ทรงวางแผนให้ข้าหลวงคนหนึ่งชื่อ อ้ายฟ้า เข้าไปเป็นไส้ศึกในเมืองหริภุญไชย ขณะนั้น พญาญี่บาครองเมืองหริภุญไชย อ้ายฟ้าทำให้ชาวหริภุญไชยไม่พอใจพญาญี่บา โดยเกณฑ์ไปขุดเหมืองในฤดูร้อนเพื่อถ่ายแม่น้ำปิงมาสู่แม่น้ำกวงเป็นระยะทาง 36 กิโลเมตร ปัจจุบัน เหมืองดังกล่าวยังมีอยู่และยังใช้การได้ นอกจากนี้ อ้ายฟ้ายังให้ตัดไม้ซุงลากผ่านที่นาของชาวบ้านในฤดูทำนา ทำให้ข้าวเสียหาย โดยอ้ายฟ้าแจ้งว่า พญาญี่บาจะทรงสร้างพระราชวังใหม่ อ้ายฟ้าบ่อนทำลายเมืองหริภุญไชยอยู่นานเกือบ 7 ปี เป็นเหตุให้ชาวหริภุญไชยจึงเอาใจออกหากพญาญี่บา เมื่อพญามังรายทรงนำกองทัพมาล้อม จึงทรงได้เมืองไปโดยง่ายใน พ.ศ. 1824 แต่ชินกาลมาลีปกรณ์ว่าเป็น พ.ศ. 1835
การสร้างเมืองเชียงใหม่
เมื่อพญามังรายทรงได้เมืองหริภุญไชยแล้ว ขุนคราม พระราชบุตรพระองค์ที่ 2 ของพญามังราย ก็ตีนครเขลางค์ (ในจังหวัดลำปางปัจจุบัน) ได้ใน พ.ศ. 1839 ในปีนั้นเอง พญามังรายทรงสร้างเมืองเชียงใหม่ขึ้น พระราชทานนามว่า "นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่"
อาณาเขตของพญามังรายนั้น ปรากฏว่า ทางเหนือถึงเชียงรุ่งและเชียงตุง ทางตะวันออกถึงแม่น้ำโขง แต่ไม่รวมเมืองพะเยา, เมืองน่าน, และเมืองแพร่ ทางใต้ถึงนครเขลางค์ และทางตะวันตกถึงอาณาจักรพุกาม (พม่าและมอญ)
การตีพุกาม
พงศาวดารโยนก ของพระยาประชากิจกรจักร์ (แช่ม บุนนาค) ว่า ใน พ.ศ. 1833 อาณาจักรพุกามขอเป็นเมืองขึ้นของพระองค์ พญามังรายจึงเสด็จไปเยือนพุกาม และเมื่อนิวัติ ก็ทรงนำช่างฆ้อง ช่างหล่อ ช่างเหล็ก และช่างฝีมืออื่น ๆ กลับมาด้วย แล้วก็โปรดให้ช่างทองไปประจำที่เมืองเชียงตุง แต่เรื่องดังกล่าวไม่ปรากฏในชินกาลมาลีปกรณ์ และประเสริฐ ณ นคร เห็นว่า ถ้าเกิดขึ้นจริง ควรเป็น พ.ศ. 1843 มากกว่า พ.ศ. 1833 เพราะมอญอยู่ในอาณัติของพ่อขุนรามคำแหงกรุงสุโขทัยซึ่งสวรรคตเมื่อ พ.ศ. 1841 มอญจะแยกตัวไปขึ้นเมืองใหม่ได้ก็ควรหลัง พ.ศ. 1841
นอกจากนี้ บันทึกของจีนและไทลื้อระบุว่า พญามังรายทรงเคยยกรี้พลไปตีเมืองเชียงรุ่งและอาณาจักรพุกามบางส่วนใน พ.ศ. 1840 และสิบสองพันนาใน พ.ศ. 1844 ทั้งกล่าวว่า จีนเคยยกลงมาตีอาณาจักรล้านนาแต่พ่ายแพ้กลับไปด้วย
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
พญามังรายทรงมีสัมพันธไมตรีกับพญางำเมือง พระมหากษัตริย์แห่งเมืองพะเยา (ในจังหวัดพะเยาปัจจุบัน) และพ่อขุนรามคำแหง พระมหากษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัย ทั้ง 3 พระองค์เป็นศิษย์สำนักเดียวกันที่เมืองละโว้ และเป็นพระสหายร่วมสาบานกันด้วย
พ.ศ. 1819 พญามังรายทรงยกทัพไปตีเมืองพะเยา แต่เมื่อไปถึง พญามังรายกับพญางำเมืองกลับเป็นไมตรีต่อกัน ทำให้ข้อขัดแย้งสิ้นสุดลง หลังจากนั้นไม่นาน พ่อขุนรามคำแหงกับพระมเหสีของพญางำเมืองกระทำชู้กัน พญางำเมืองเชิญพญามังรายมาตัดสิน พญามังรายทรงว่ากล่าวให้พญางำเมืองกับพ่อขุนรามคำแหงกลับเป็นมิตรกันดังเดิม
อนึ่ง เมื่อพญามังรายจะทรงสถาปนาเมืองเชียงใหม่นั้น ทรงปรึกษากับพระสหายทั้ง 2 พ่อขุนรามคำแหงทรงแนะนำว่า ควรลดขนาดเมืองลงครึ่งหนึ่งจากเดิมที่วางผังให้ยาวด้านละ 2,000 วา เพราะเมื่อเกิดศึกสงครามในอนาคต ผู้คนที่ไม่มากพอจะไม่อาจรักษาบ้านเมืองที่กว้างใหญ่เกินไปได้ ซึ่งพญามังรายทรงเห็นชอบด้วย
พระราชไมตรีระหว่างพระมหากษัตริย์ทั้ง 3 พระองค์ ทำให้แต่ละพระองค์ทรงสามารถขยายดินแดนไปได้อย่างไม่ต้องทรงพะวงหน้าพะวงหลัง
กฎหมาย
มังรายศาสตร์ (บ้างเรียก วิจิฉัยมังราย) เป็นเอกสารที่ประมวลคำวินิจฉัยทางกฎหมายของพระมหากษัตริย์ ซึ่งรวมถึงพญามังราย ในรัชกาลพญามังราย มังรายศาสตร์มีเพียง 22 มาตรา ว่าด้วยการหนีศึก, ความชอบในสงคราม, หน้าที่ของไพร่ในการเข้าเวรทำงานหลวง 10 วัน กลับบ้านไปกสิกรรม 10 วัน สลับกันไป, และเรื่องที่ดิน ภายหลังมีการแก้ไขเพิ่มเติมจนยาวขึ้นอีก 10 เท่า
มังรายศาสตร์ฉบับเก่าแก่ที่สุดที่หลงเหลือในปัจจุบันมีเพียงฉบับเดียว คือ ฉบับที่พบ ณ วัดเสาไห้ คัดลอกเอาไว้เมื่อ พ.ศ. 2342 และต่อมา ราชบัณฑิตยสถานแปลเป็นภาษาไทยเมื่อ พ.ศ. 2514
พระราชวงศ์
พญามังรายมีพระราชบุตรเท่าใดไม่ปรากฏชัด แต่ปรากฏว่า พระราชบุตรพระองค์แรกมีพระนามว่า ขุนเครื่อง ทรงให้ไปครองเมืองเชียงราย แต่ภายหลังคิดขบถ จึงทรงให้คนไปลอบสังหาร
พระราชบุตรพระองค์ที่ 2 คือ ขุนคราม มีผลงานเป็นการตีนครเขลางค์ได้สำเร็จ จึงได้เฉลิมพระนามเป็น พญาไชยสงคราม ภายหลังได้สืบราชสมบัติต่อจากพญามังรายเป็นรัชกาลที่ 2 แห่งอาณาจักรล้านนา
พระราชบุตรพระองค์ที่ 3 คือ ขุนเครือ โปรดให้กินเมืองพร้าว แต่ต่อมาถูกพระองค์เนรเทศไปเมืองกองใต้ ชาวไทยใหญ่จึงสร้างเมืองใหม่ให้ขุนเครือปกครองแทน
สวรรคต
พญามังรายสวรรคตเพราะทรงถูกฟ้าผ่ากลางเมืองเชียงใหม่ใน พ.ศ. 1854 รวมพระชนม์ 72 พรรษา พญาไชยสงคราม พระราชบุตรพระองค์ที่ 2 เสวยราชย์สืบต่อมา
พ้นรัชกาลพญามังรายแล้ว ราชวงศ์มังรายครอบครองอาณาจักรล้านนาเป็นเอกราชอยู่ระยะหนึ่ง โดยเคยขยายอาณาบริเวณมาครอบคลุมเมืองพะเยา, น่าน, ตาก, แพร่, สวรรคโลก, และสุโขทัยด้วย กระทั่ง พ.ศ. 2101 ถูกพม่าตีแตก แล้วก็กลายเป็นเมืองขึ้นพม่าบ้าง เป็นอิสระบ้าง และเป็นเมืองขึ้นกรุงศรีอยุธยาบ้าง สลับกันไปดังนี้เป็นเวลากว่า 200 ปี จนยอมเป็นเมืองขึ้นกรุงรัตนโกสินทร์ และถูกกลืนเข้าเป็นประเทศไทยในปัจจุบัน ขอบคุณข้อมูลจากวิกิพีเดียสารานุกรมเสรี ภาพพญามังรายจากสนุกพีเดีย
วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2564
โยนกนครไชยบุรีราชธานีศรีช้างแส่น
โยนกนครไชยบุรีราชธานีศรีช้างแส่น หรือ แคว้นโยนก (พ.ศ. ๑๒๐๐–๑๖๕๐) เป็นรัฐของชาวไทยวน ที่ตั้งอยู่แถบลุ่มน้ำโขงตอนกลาง อันเป็นที่ราบลุ่มของน้ำแม่กก เป็นที่ตั้งแหล่งชุมชนที่มีมาอย่างช้านานซึ่งเป็นอาณาจักรแรกของชนชาติไทย ตั้งแต่ประมาณปี พ.ศ. ๑๒๐๐-๑๖๕๐ อาณาจักรโยนก ก็ล่มสลายลงเมื่อเกิดการแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ จึงอพยพย้ายเมืองหลวงมาเป็นเวียงปรึกษาแทน ซึ่งมีเรื่องราวปรากฏอยู่ในตำนานสิงหนติกุมาร (มีหลายชื่อเรียก เช่น ตำนานโยนกนครเชียงแสน ตำนานโยนกนคร ตำนานโยนกไชยบุรีศรีช้างแส่น แล้วแต่ผู้จารจะเขียนกำกับ แต่เนื้อหาคล้ายกันหมด) และตำนานพระธาตุดอยตุง ถ้ำปุ่ม ถ้ำปลา ถ้ำเปลวปล่องฟ้า แต่ยังไม่มีการค้นพบหลักฐานที่เก่าถึงยุคสมัยจริง
ตำนานสิงหนติกุมาร
ตามตำนานสิงหนติกุมาร (ไม่ใช่สิงหนวัติ หรือ สิงหนวติ เพราะไม่ปรากฏในเอกสารใบลานชั้นต้น ซึ่งปรากฏเพียง สิงหนติ) กล่าวว่า เจ้าสิงหนติราชกุมาร โอรสของพระเจ้าเทวกาลแห่งนครไทยเทศ หรือ เมืองราชคฤห์ ได้ทำการอพยพผู้คนออกจากนครไทยเทศ เดินทางไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ จนมาถึงชัยภูมิที่เคยเป็นแคว้นสุวรรณโคมคำในอดีต ไม่ไกลแม่น้ำโขงมากนัก ซึ่งตอนนั้นมีชาวลัวะอาศัยอยู่ตามป่าเขาในบริเวณดอยดินแดน (ดอยตุง) มีหัวหน้าชื่อ ปู่เจ้าลาวกุย เจ้าสิงหนติได้พบกับพญานาคชื่อพันธุนาคราช ซึ่งจำแลงกายเป็นพราหมณ์มาพูดคุย และแนะนำให้สร้างเมืองในที่บริเวณนั้น แล้วกลับเป็นพญานาคช่วยขุดคูเมืองให้ เจ้าสิงหนติจึงตั้งเมืองบริเวณนั้น และนำชื่อตนประสมกับชื่อพญานาคเป็นชื่อเมืองว่า เมืองนาคพันธุสิงหนตินคร จากนั้นเจ้าสิงหนติได้แผ่อำนาจปราบปรามเมืองอุโมงคเสลานคร ซึ่งเป็นเมืองของพวกขอม และมีอำนาจเหนือกลุ่มชนพื้นถิ่นดั้งเดิมในแถบนั้นทั้งหมด ในสมัยพญาพันธนติ กษัตริย์องค์ที่ ๒ ได้เปลี่ยนชื่อเมืองมาเป็น เมืองโยนกนครไชยบุรีราชธานีศรีช้างแส่น โดยเอาเหตุนิมิตเมื่อช้างมงคลของพญาสิงหนติเห็นพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ ก็เกิดการตกใจร้องเสียงดัง "แส่นสะเคียร" (ช้างแส่น คือ ช้างสั่น ส่วน แส่นสะเคียร แปลว่า สั่นสะเทือน เป็นอากัปกิริยาของช้างคำรามเสียงดังสนั่นหวั่นไหว)
ในสมัยพญาอชุตราช กษัตริย์องค์ที่3 ได้มีการสร้างพระธาตุดอยตุง พระธาตุดอยกู่แก้ว พระธาตุในถ้ำปุ่ม ถ้ำเปลวปล่องฟ้า เป็นการสะท้อนให้เห็นว่าเริ่มมีพระพุทธศาสนาเข้ามาแล้ว (ซึ่งเป็นเพียงตำนานเท่านั้น ในปัจจุบันยังไม่ค้นพบหลักฐานที่เก่าถึงยุคสมัยโยนกนคร) สมัยพญามังรายนราช กษัตริย์องค์ที่4 พระองค์ไชยนารายณ์ โอรสองค์สุดท้องของพระองค์ได้ไปตั้งเมืองใหม่ คือ เวียงไชยนารายณ์เมืองมูล (สันนิฐานว่าควรอยู่บริเวณ ปงเวียงไชย บ้านปง ต.เวียงชัย อ.เวียงชัย จ.เชียงราย)
เมืองโยนกนครไชยบุรีราชธานีศรีช้างแส่นมีกษัตริย์ปกครองต่อ ๆ กันมา จนสมัยพระองค์พังคราช กษัตริย์องค์ที่ ๔๒ เสียเมืองให้กับพระยาขอม เมืองอุโมงคเสลานคร และถูกเนรเทศไปเป็นแก่บ้านเวียงสี่ทวง ส่งส่วยให้พระยาขอมเป็นทองคำปีละ ๔ ทวงหมากพินน้อย (คือมะตูมลูกเล็ก) นำมาผ่าซีก ๔ ส่วน นำทองคำหลอมลงไปเพียง ๑ ซีก ที่เวียงสี่ทวง พระองค์พังคราชมีลูกชาย ๒ คน คนโตชื่อ ทุกขิตะกุมาร คนที่ ๒ ชื่อ พรหมกุมาร เมื่อพรหมกุมารอายุได้ ๑๓ ปี จึงมีความคิดที่จะสู้กับพระยาขอม ได้ไปจับช้างที่แม่น้ำโขงและตีพานคำ (พาน อ่านว่าปาน คือเครื่องดนตรีล้านนาชนิดหนึ่ง คล้ายฆ้องแต่ไม่มีโหม่ง ใช้ตี) แห่เข้าเวียงสี่ทวง และทำการขุดคูเมือง ปรับปรุงกำแพงและประตูเมือง แล้วเปลี่ยนชื่อเวียงสี่ทวงเป็น เวียงพานคำ (สันนิษฐานว่าเวียงสี่ทวงและเวียงพานคำควรอยู่บริเวณเมืองโบราณที่เรียกว่าเวียงแก้ว บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ อ.เชียงแสน และเวียงสี่ทวงกับเวียงพานคำไม่ควรอยู่บริเวณเมืองโบราณที่ อ.แม่สาย เพราะตำนานหลายฉบับกล่าวว่าบริเวณนั้นเป็นเมืองหิรัญนครเงินยาง) และทำการซ่องสุมผู้คน สู้รบกับพระยาขอมจนได้รับชนะ ขับไล่พวกขอมและสามารถชิงเมืองโยนกนครไชยบุรีราชธานีศรีช้างแส่นกลับคืนมาได้ ถวายเมืองคืนพระองค์พังคราช ส่วนพระองค์พรหมราช (พรหมกุมาร) ได้กลัวว่าจะมีข้าศึกมาอีก จึงไปสร้างเมืองใหม่ คือ เวียงไชยปราการ (สันนิฐานว่าควรอยู่บริเวณ บ้านร่องห้า (ร่องห้าทุ่งยั้ง) ต.ผางาม อ.เวียงชัย จ.เชียงราย) เมื่อสิ้นพระองค์พรหมราชแล้ว พระองค์ไชยสิริ พระโอรสได้ครองเวียงไชยปราการต่อมา แต่ถูกเมืองสุธรรมวดีเข้ามาคุกคามอีก พระองค์ไชยสิริจึงพาชาวเมืองอพยพลงไปทางใต้ และตั้งเมืองที่เมืองกำแพงเพชร
ส่วนเมืองโยนกนครไชยบุรีราชธานีศรีช้างแส่นนั้น มีกษัตริย์ครองเมืองต่อมา จนถึงสมัยพระองค์มหาไชยชนะ ชาวเมืองจับได้ปลาไหลเผือกยักษ์จากแม่น้ำกก แล้วนำมาแบ่งกันกินทั้งเมืองยกเว้นแม่หม้ายเฒ่าหนึ่งคน และในคืนนั้นเมืองโยนกก็ล่มสลายลงกลายเป็นหนองน้ำใหญ่ ยกเว้นแม่หม้ายเฒ่าเพียงคนเดียวที่รอดตาย (สันนิฐานว่าอาจเกิดแผ่นดินไหวจนเมืองถล่มลง จึงมาผูกเรื่องในตำนาน ปัจจุบันสันนิฐานว่าเวียงโยนกฯอยู่บริเวณเวียงหนองหล่ม ตั้งอยู่ระหว่าง ต.โยนก อ.เชียงแสน กับ ต.จันจว้า อ.แม่จัน จ.เชียงราย) ขุนพันนาและนายบ้านกับประชาชนที่รอดตายจึงรับเลี้ยงดูแม่หม้ายเฒ่า และประชุมปรึกษาเลือกนายบ้านผู้หนึ่ง ชื่อขุนลัง ให้เป็นผู้นำ และช่วยกันสร้างเมืองใหม่ริมฝั่งแม่น้ำโขงฝั่งตะตก และอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองโยนกนครฯ เรียกว่าเวียงเปิกสา (เวียงปรึกษา) ผู้ที่ครองเวียงเปิกสานั้นจะต้องได้รับการปรึกษาคัดเลือกจากประชาชนในเมืองทั้งหมด คล้ายกับแนวทางของระบอบประชาธิปไตย เรียกว่า ไพร่แต่งเมือง รวมเป็นขุนผู้ครองเวียงเปิกสา ๑๖ คน เป็นอันจบตำนานสิงหนติกุมาร
สิงหนติ หรือ สิงหนวัติ
ในประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๖๑ ตำนานสิงหนวติกุมาร เรียกชื่อเจ้าสิงหนติราชกุมารว่า สิงหนวติกุมาร และมีการเผยแพร่และเพี้ยนไปเป็น สิงหนวัติกุมาร และเป็นชื่อที่แพร่หลายใช้ในปัจจุบัน แต่จากการสำรวจและปริวรรตเอกสารใบลานต้นฉบับภาษาล้านนาของตำนานโยนกแล้ว กลับพบว่าเขียนว่า สิงหนติ ไม่พบว่ามีการเขียนชื่อ สิงหนวติ หรือ สิงหนวัติ ในตำนานทุกฉบับ จึงสรุปว่าควรใช้ สิงหนติ ซึ่งเป็นชื่อที่ถูกต้อง
รายพระนามกษัตริย์ผู้ครองเมืองโยนกนครไชยบุรีราชธานีศรีช้างแส่น
พญาสิงหนติ (เจ้าสิงหนติราชกุมาร) เริ่มราชวงศ์เมืองนาคพันธุสิงหนตินคร
พญาพันธติ สถาปนาเมืองโยนกนครไชยบุรีราชธานีศรีช้างแส่น
พญาอชุตราช
พญามังรายนราช (พระองค์มังรายนราช)
พระองค์เชือง
พระองค์ชืน
พระองค์คำ
พระองค์เพิง
พระองค์ชาต
พระองค์เวา
พระองค์แวน
พระองค์แก้ว
พระองค์เงิน
พระองค์แวนที่ ๒ (คนละองค์กับพระองค์แวนในลำดับที่ ๑๐)
พระองค์งาม
พระองค์ลือ
พระองค์รอย
พระองค์เชิง
พระองค์พัน
พระองค์เพา
พระองค์พิง
พระองค์สี
พระองค์สม
พระองค์สวน
พระองค์แพง
พระองค์พวน
พระองค์จัน
พระองค์ฟู
พระองค์ฝัน
พระองค์วัน
พระองค์มังสิง
พระองค์มังแสน
พระองค์มังสม
พระองค์ทิพ
พระองค์กอง
พระองค์กม
พระองค์ชาย
พระองค์ชื่น
พระองค์ชม
พระองค์พัง
พระองค์พิงที่ ๒ (คนละองค์กับพระองค์พิงในลำดับที่ ๒๐)
พระองค์เพียง
พระองค์พัง (พระองค์พังคราช)
พระองค์ทุกขิตะ (เจ้าทุกขิตะกุมาร)
พระองค์พรหมราช (พระเจ้าพรหมมหาราช)
พระองค์มหาไชยชนะ สิ้นสุดราชวงศ์สิงหนติ เมืองโยนกนครไชยบุรีราชธานีศรีช้างแส่นล่มสลาย
(หมายเหตุ รายชื่อกษัตริย์ราชวงศ์สิงหนติ อ้างอิงจากตำนานสิงหนติโยนก ฉบับวัดลำเปิง จ.เชียงราย เป็นหลัก)
ที่มา วิกิพีเดียสารานุกรมเสรีครับ เรียบเรียง by krisda paleeriam ภาพจากเชียงใหม่นิวส์(เวียงหนองหล่ม)
วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2564
เมืองเชียงแสน
เชียงแสน - เมืองก่อนประวัติศาสตร์
พื้นที่ราบลุ่มเชียงแสนและบริเวณข้างเคียงเคยมีมนุษย์เร่ร่อนอยู่อาศัยมาช้านานแล้ว
นับแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์เมื่อครั้งมนุษย์ยังดำรงชีวิตอยู่ในสังคมล่าสัตว์ ต่อเนื่องลงมา
ถึงสังคมเกษตรกรรม หรือราว ๑๕๐๐๐ - ๓๐๐๐๐ ปีมาแล้ว เพราะปรากฏหลักฐานเครื่องมือ
เครื่องใช้มนุษย์กระจัดกระจายอยู่โดยทั่วไปทั้งที่ลาดเนินเขาและริมฝั่งแม่น้ำ
ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๗ - ๑๘ ผู้คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นี้เริ่มรวมตัวกันหนาแน่นขึ้น ก่อตั้งเป็น
ชุมชนเมืองบนที่ลาดเนินเขาหรือที่ตอนริมฝั่งแม่น้ำ เมื่อพุทธศาสนาเริ่มแพร่ขยายเข้ามา
จึงเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ชุมชนเหล่านี้ได้หันมาเอาวัฒนธรรมทางพุทธศาสนา
พร้อมกับการก้าวเข้าสู่ยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
ล่วงมาถึงปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๔ พญาแสนภู กษัตริย์ราชวงศ์มังราย ทรงสร้างเมืองเชียงแสนขึ้น
ในบริเวณหมู่บ้านเล็กๆ ริมฝั่งแม่น้ำโขง เพื่อควบคุมไพร่พลเมือง ผลิตผลทางการเกษตร และ
เส้นทางการค้าของแคว้นโยนก อันเป็นถิ่นฐานดั้งเดิมแห่งบรรพบุรุษของพระองค์ในปี พ.ศ. ๑๘๗๑
ฐานะของเมืองเชียงแสนในระยะแรกมีความสำคัญค่อนข้างสูง เพราะเป็นเมืองลูกหลวงของ
อาณาจักรล้านนา กษัตริย์ราชวงศ์มังรายหลายพระองค์ อาทิ พญาผายู พญาคำฟู และพญากือนา
ต่างเสด็จมาครองเมืองเชียงแสน ก่อนที่จะเสด็จเสวยราชสมบัติ ณ เมืองเชียงใหม่
หลังจากต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๐ ลงมาจนกระทั่งอาณาจักรล้านนาถูกพม่ายึดครองในปี พ.ศ. ๒๑๐๑
ฐานะของเมืองเชียงแสนก็ถูกลดลงเป็นเพียงเมืองสำคัญทางศาสนา และเมืองบริวารของอาณาจักร
กษัตริย์ล้านนามักจะส่งเชื้อพระวงศ์ และขุนนางมาปกครองเมืองแทนพระราชโอรส
ระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๒๒ ถึงต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๔ เมืองเชียงแสนกลับกลายเป็นเมืองสำคัญของทาง
ยุทธศาสตร์ที่ควบคุมพื้นที่ทางตอนบนของหัวเมืองฝ่ายเหนือ กษัตริย์พม่าได้ส่งกำลังเข้ามายึดเมืองไว้
ทางฝ่ายกรุงศรีอยุธยาและธนบุรีต้องยกกองทัพมาปราบอยู่หลายครั้ง ล่วงมาปี พ.ศ. ๒๓๔๗
สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้า
กรมหลวงเทพหริรักษ์ และพระยายมราช ยกกองทัพมาขับไล่ชาวพม่าออกจากเมืองเชียงแสนได้สำเร็จ
แล้วมีพระราชดำรัสให้เผาบ้านเมืองกวาดต้อนผู้คนอพยพไปไว้ตามหัวเมืองต่างๆ ในภาคเหนือ และ
ส่งลงมายังกรุงเทพฯ
ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๒๔ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้
เจ้าอินต๊ะ บุตรเจ้าบุญมา เข้าผู้ครองนครลำพูน นำราษฎรเมืองลำพูน เชียงใหม่ และลำปาง ขึ้นมา
ตั้งถิ่นฐาน ณ เมืองเชียงแสน และพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยาราชเดชดำรง ตำแหน่งเจ้าเมือง
เชียงแสน เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๓๘ ท้ายที่สุดเมืองเชียงแสนถูกยุบเป็นกิ่งอำเภอเชียงแสนหลวง ในปี พ.ศ. ๒๔๔๒
และได้ยกฐานะเป็นอำเภอเชียงแสน ขึ้นกับจังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ ๙ เมษายน พ.ศ. ๒๕๐๐
ที่มา .... พิพิธภัณฑ์เชียงแสน ขอบคุณภาพจากเชียงรายโฟกัสดอทคอม(ภาพวัดป่าสัก อ.เชียงแสน จ.เชียงราย)
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
กรมหลวงโยธาเทพ
กรมหลวงโยธาเทพ ภายหลังออกพระนามว่า สมเด็จพระรูปเจ้า มีพระนามเดิมว่า พระสุดาเทวี (คำให้การชาวกรุงเก่า) หรือ เจ้าฟ้าสุดาวดี (พ.ศ. 2199—2278) เ...
-
พระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. 1991-2031 ) พระบรมไตรโลกนาถ ทรงครองราชสมบัตินานที่สุดในบรรดากษัตริย์อยุธยา นานถึง 40 ปี และทรงรวมอาณาจักรสุ...
-
สมเด็จพระพระศรีสุธรรมราชา (พ.ศ. 2198 ) สมเด็จพระศรีสุธรรมราชา หรือ สมเด็จพระสรรเพชญที่ 7 ขึ้นครองราชย์หลังสำเร็จโทษสมเด็จเจ้าฟ้าชัย...
-
พระเจ้าทรงธรรม (พ.ศ.2163-2171) พระเจ้าทรงธรรม หรือ พระอินทราชา เสด็จพระราชสมภพ พ.ศ.2133 เมื่อเสวยราชย์นั้น พระชันษาได้ 29 ปี มีพระรา...