วันอาทิตย์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

สมเด็จพระบรมราชาที่ 3


สมเด็จพระบรมราชาที่ 3 (พ.ศ.2301-2310)
     สมเด็จพระบรมราชาที่ 3 พระที่นั่งสุริยามรินทร์ หรือพระเจ้าเอกทัศ เสด็จขึ้นครองราชสมบัติในเวลาต่อมา ภายหลังการมอบราชสมบัติจากพระอนุชา แต่ข้าราชการไม่สามัคคีกัน
     ทางด้านพม่ามี มังอองใจยะได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์ ทรงพระนามว่าพระเจ้าอลองพญา แล้วสร้างเมืองรัตนสิงค์เป็นราชธานี มีผู้คนชาวพม่ามาเข้าด้วยมาก แล้วปราบได้เมืองอังวะ  เมืองแปร และเมืองหงสาวดี ตามลำดับ
     ปี พ.ศ.2302 พระเจ้าอะลองพญา ให้มังระราชบุตรคุมทัพ 8000 มาตีเมืองทวายได้แล้ว เลยมาตีตะนาวศรี และมะริด ได้อีก จึงมีรับสั่งให้เตรียมกองทัพที่เมืองตะนาวศรี ให้มังระราชบุตรเป็นทัพหน้า พระเจ้าอลองพญาเป็นทัพหลวง แล้วยกเข้ามาทางด่านสิงขร
     ทัพไทยไม่สามารถต้านพม่าได้ เนื่องจากการข่าวไม่ดีทำให้จัดทัพรับพม่าไม่ตรงจุด จึงถอยมาที่กรุงศรีอยุธยา พระเจ้าเอกทัศจึงมีรับสั่งให้ไปเชิญสมเด็จพระอนุชาลาผนวช แล้วมอบราชการทั้งปวงให้ทรงบังคับบัญชาต่างพระองค์
     พระเจ้าอุทุมพรจึงมีรับสั่งจัดทัพพล 20000 ให้พระยามหาเสนาเป็นแม่ทัพ ยกออกไปตั้งรับข้าศึกที่บ้านทุ่งนาตาลาน ติดกับสุพรรณบุรี แต่ไม่สามารถต้านทัพพม่าได้ ถูกตีแตกกระเจิงโดยเจ้าพระยามหาเสนาตายในสนามรบ
     พระเจ้าอลองพญาจึงให้เคลื่อนทัพเข้าล้อมกรุงศรีอยุธยา ต่อมาพม่าเอาปืนใหญ่มาตั้ง ณ วัดราชพลี วัดกษัตรา ยิงเข้าไปในพระนคร พระเจ้าอุทุมพรทรงช้างพระที่นั่งเสด็จไปบัญชาการให้เจ้าหน้าที่ยิงปืนป้อมตอบโต้พม่า ยิงกันอยู่จนเวลาเย็นพม่าก็เลิกทัพกลับไปค่าย
     ถึงเดือนหกพม่าเอาปืนใหญ่มาตั้งจังก้าที่หน้าวัดพระเมรุราชิการาม และวัดช้าง ระดมยิงเข้าไปในพระราชวังทั้งกลางวันกลางคืน ลูกปืนถูกยอดพระที่นั่งสุริยาสน์อัมรินทร์หักทำลายลงวันนั้นพระเจ้าอลองพญามาทรงบัญชาการและจุดปืนใหญ่เอง เผอิญปืนใหญ่แตกถูกพระองค์ประชวรบาดเจ็บสาหัส วันรุ่งขึ้นพม่าก็เลิกทัพกลับขึ้นไปทางเหนือโดยด่วน กลับออกไปทางด่านแม่ละเมา แต่ไปยังไม่พ้นแดนเมืองตาก พระเจ้าอลองพญาก็สิ้นพระชนม์ในกลางทาง
     ทางด้านกรุงศรีอยุธยาหลังจากพม่ายกทัพกลับ ก็ลงมือซ่อมแซมพระนครป้อมปราการต่าง ๆ ให้ดีดังเก่า แต่ข้าราชการยังแตกความสามัคคี
     อยู่มาวันหนึ่งเพลากลางคืน มีพระราชโองการให้หาพระอนุชาธิราชเข้าเฝ้าถึงที่ข้างใน ครั้นเสด็จเข้าไป ทอดพระเนตรเห็นพระเจ้าพี่ถอดพระแสงดาบพาดพระเพลาอยู่ ก็เข้าพระทัยว่าทรงรังเกียจจะทำร้าย มิให้อยู่ในฆราวาส จึงเสด็จกลับออกมา ณ ที่ข้างหน้า
     ครั้นถึงเดือนแปด จึงเสด็จลงเรือพระที่นั่งออกไป ณ วัดโพธิ์ทองคำหยาด ทรงพระผนวชแล้วเสด็จกลับเข้ามาอยู่ ณ วัดประดู่ดังแต่ก่อน
     ทางด้านพม่าเมื่อพระเจ้าอลองพญาสวรรคต พระเจ้าปวรมหาธรรมราชา (มังลอก) ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระบิดาในปี พ.ศ.2303 และครองราชย์ได้ 4 ปี จึงสิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ.2306 พระเจ้าศิริสุธรรมมหาราชาธิบดี (มังระ) ขึ้นครองราชย์ต่อมา (ช่วงนั้นได้ปราบกบฏอยู่หลายปีจนราบคาบ)
     ปี พ.ศ.2308 พระเจ้ามังระมีรับสั่งให้เนเมียวสีหบดีเป็นแม่ทัพใหญ่ยกเข้ามาทางเหนือจากเมืองเชียงใหม่ ให้มังมหานรธายกกองทัพเข้ามาตีเมืองทวาย เสร็จแล้วให้เข้ามาตีหัวเมืองปักษ์ใต้ ซึ่งก็ตีได้อย่างง่ายดาย และผ่านมาถึงแขวงเมืองราชบุรี มังมหานรธายกกองทัพครั้งนั้นมีพล 30000 ได้มายั้งทัพรอที่บ้านสีกุกแขวงเมืองสุพรรณบุรี
     ทางด้าน เนเมียวสีหบดีแม่ทัพใหญ่ยกทัพมาทางเหนือ มีเพียงเมืองตากที่ต่อสู้แต่ทานกำลังมิได้ แต่ต้องใช้เวลาต่อสู้กับ ชาวบ้านบางระจันอยู่ประมาณ 5 เดือน (ขอยกย่องในวีรกรรมที่กล้าหาญของชาวบ้านบางระจัน) จึงลงมารวมพลกับกองทัพของมังมหานรธาได้ โดยได้ตั้งทัพแบบไม่ประชิดพระนครเพื่อรอทัพหนุนจากพระเจ้ามังระจะส่งมาสมทบ ต่อมามังมหานรธาได้ล้มป่วยลงและถึงแก่ความตายที่ค่ายสีกุก และเนเมียวสีหบดีจึงขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่เพียงผู้เดียว
     สงครามในครั้งนี้ไทยได้สู้รบกับพม่าหลายครั้งและสุดท้ายไทยก็ได้พ่ายแพ้ต่อสงคราม ดังมีการบันทึกไว้ดังนี้
     ครั้นถึงวันอังคาร เดือน 5 ขึ้น 9 ค่ำ ปีกุน พ.ศ. 2310 เป็นวันเนาสงกรานต์ เพลาบ่าย 3 โมง พม่าก็จุดไฟสุมรากกำแพงเมือง ตรงหัวรอริมป้อมมหาไชย และยิงปืนระดมเข้าไปในพระนครจากบรรดาค่ายต่าง ๆ ที่รายล้อมทุก ๆ ค่าย พอเพลาพลบค่ำ 8 นาฬิกา กำแพงเมืองตรงที่เอาไฟสุมทรุดลง แม่ทัพพม่าก็ยิงปืนเป็นสัญญาณให้เข้าปีน ปล้นพระนคร พร้อมกันทุกด้าน
     พวกพม่าเอาบันไดพาดปีนเข้าได้ตรงที่กำแพงทรุดนั้นก่อนชาวพระนครที่รักษาหน้าที่เหลือกำลังจะต่อสู้ พม่าก็เข้าพระนครได้ในเวลาค่ำวันนั้นทุก ๆ ด้าน ทุก ๆ ทาง นับเวลาที่พม่ายกมาตั้งล้อมพระนครศรีอยุธยา 1 ปี กับ 1 เดือน จึงเสียกรุงศรีอยุธยาให้กับพม่า
     ส่วนพระเจ้าเอกทัศพวกพม่าได้ไปพบที่บ้านจิก เวลานั้นได้อดพระอาหารมามากกว่า 10 วันพอรับเสด็จไปถึงค่ายโพธิ์สามต้นก็สวรรคต

จบแล้วนะครับ สำหรับบทความเรื่องพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา ผมได้รวบรวมจากหนังสือสี่เล่มคือ
     1.เกร็ดพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา พิมพ์ครั้งที่สี่ โดยลำจุล ฮวบเจริญ
     2.อยุธยา ประวัติศาสตร์และการเมือง พิมพ์ครั้งที่สี่ โดยชาญวิทย์ เกษตรศิริ
     3.บัลลังก์เลือดกษัตริย์กรุงศรี พิมพ์ครั้งที่สอง โดยแสงเทียน ศรัทธาไทย
     4.พระประวัติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระนิพนธ์สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ

     โดยการรวบรวมจะเน้นความกระชับ รายละเอียดอาจไม่มากพอ แต่ได้ใจความ ผมไม่คัดลอกมาทั้งดุ้น แต่จะคัดเอาตอนที่น่าสนใจและจะแทรกเนื้อหาใหม่ ๆ ที่ได้เจอมาเข้าไปเพิ่มเติม ศักราชผมใช้ฉบับหลวงประเสริฐ และสอบศักราชเป็นบางรัชกาลที่ไม่ชัดเจน แต่ไม่เป็นบทสรุปนะครับ เพราะศักราชไม่ค่อยตรงกันอยู่แล้วในพงศาวดาร เวลาติดขัดผมก็จะเข้าไปดูที่เว็บวิกิพีเดียสารานุกรมเสรี ขอขอบคุณหนังสือทั้งสี่เล่มและวิกิพีเดียสารานุกรมเสรีมากครับ และขอบคุณสำหรับการติดตามครับ ก่อนจากกันขอฝากเพลง อยุธยาเมืองเก่า เพื่อรำลึกถึงกรุงศรีอยุธยา

     อยุธยา เมืองเก่าของเราแต่ก่อน
จิตใจอาวรณ์ มาเล่า สู่กันฟัง
อยุธยา แต่ก่อน นี้ยัง
เป็นดังเมืองทอง ของพี่น้อง เผ่าพงศ์ไทย
เดี๋ยวนี้ ซิเป็นเป็นเมืองเก่า
ชาวไทยแสนเศร้า ถูกข้าศึกรุกราน
ชาวไทย ทุกคนหัวใจร้าวราน
ข้าศึกเผาผลาญ แหลกราญ วอดวาย
เราชน ชั้นหลังฟังแล้วเศร้าใจ
อนุสรณ์ เตือนให้ ชาวไทยคงมั่น
สมัครสมาน ร่วมใจกันสามัคคี
คงจะไม่มี ใครกล้า ราวีชาติไทย

เนื้อเพลงโดยหม่อมหลวงขาบ กุลชร ณ.อยุธยา











วันเสาร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

พระบรมราชาธิราชที่ 4

สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 4 (พ.ศ.2301)
     สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 4 หรือ กรมขุนพรพินิจ (ขุนหลวงหาวัด) เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าบรมโกศ และเป็นพระอนุชาเจ้าฟ้าเอกทัศก่อนเสด็จขึ้นครองราชสมบัติ มีรับสั่งให้สำเร็จโทษเจ้าสามกรม คือ กรมหมื่นจิตรสุนทร กรมหมื่นสุนทรเทพ และ กรมหมื่นเสพภักดี ซึ่งเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าบรมโกศ ชั้นพระองค์เจ้า ข้อหาก่อการกบฏ

     ภายหลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์แล้ว เจ้าฟ้าเอกทัศพระเชษฐา มีพระทัยปรารถนาราชสมบัติ เสด็จขึ้นอยู่บนพระที่นั่งสุริยามรินทร์ สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินมิรู้จะทำประการใด ต่อมาพระองค์จึงถวายราชสมบัติให้พระเชษฐาแล้วออกทรงผนวช ทรงอยู่ในราชสมบัติ 10 วัน

วันศุกร์ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ

พระเจ้าบรมโกศ (พ.ศ.2275-2301)
     พระเจ้าบรมโกศ ทรงเป็นโอรสพระเจ้าเสือ และเป็นพระอนุชาพระเจ้าท้ายสระ จัดว่าเป็นพระมหากษัตริย์ระดับ “พระจักรพรรดิ” เลยทีเดียว ในรัชสมัยของพระองค์บ้านเมืองสงบสุขร่มเย็น ประเทศใกล้เคียงยังไม่กล้ามาทำสงครามเพราะเกรงพระบารมี
      พระองค์มีพระอัครมเหสีคือกรมหลวงอภัยนุชิตมีพระราชโอรสคือเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร (กรมขุนเสนาพิทักษ์) พระมเหสีคือกรมหลวงพิพิธมนตรี มีพระราชโอรสคือเจ้าฟ้าเอกทัศน์ (กรมขุนอนุรักษ์มนตรี) และเจ้าฟ้าอุทุมพร (กรมขุนพรพินิต)


พระเจ้าบรมโกศ

     ขณะที่พระเจ้าท้ายสระเสด็จสวรรคต วังหลวงกับวังหน้าได้ตั้งค่ายเผชิญหน้ากัน เหตุการณ์มีดังนี้ สงครามเกิดขึ้นหลายเพลา วังหลวงกับวังหน้าผลัดกันแพ้ชนะ ขุนชำนาญเป็นนายทัพวังหน้า วังหลวงมีพระธนบุรีเป็นนายทัพ ในที่สุดวังหน้าเป็นฝ่ายชนะ ขุนชำนาญตัดศรีษะพระธนบุรีได้ เจ้าฟ้าอภัย และ เจ้าฟ้าปรเมศวร์ถูกตามจับตัวได้ และถูกสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์
      หลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์แล้ว โปรดให้เจ้าฟ้าธรรมธิเบศรเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล
      ในรัชสมัยของพระองค์พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาก กษัตริย์ลังกาได้ส่งราชทูตมาขอพระเถระ เพื่อไปฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในลังกา ซึ่งเสื่อมโทรมลงไป จึงเป็นที่มาของสยามนิกาย และใช้เวลาฟื้นฟูอยู่ 7 ปี และมีกวีคนสำคัญเช่นเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร
     ต่อมากรมพระราชวังบวรลอบทำชู้กับเจ้าฟ้านิ่มและเจ้าฟ้าสังวาลย์ ซึ่งเป็นพระชายาของพระเจ้าบรมโกศ สอบสวนแล้ว กรมพระราชวังบวร รับเป็นสัตย์ ทรงให้เฆี่ยน 230 ที และให้ถอดเสียจากเจ้าเป็นไพร่ แต่กรมพระราชวังบวรทนได้แค่ 180 ทีก็สิ้นพระชนม์ เจ้าฟ้าสังวาลกับเจ้าฟ้านิ่ม ทรงให้เฆี่ยน 30 ทีแล้วถอดเป็นไพร่แล้วจำไว้จนกว่าจะตาย
     ได้มีการเสนอให้เจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิตให้เป็นพระมหาอุปราช ฝ่ายเจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิจเห็นว่าควรให้เจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรี พระเชษฐาจะดูเหมาะสมกว่า
     จึงมีพระราชโองการตรัสว่า กรมขุนอนุรักษ์มนตรีนั้นโฉดเขลาหาสติปัญญาและความเพียรมิได้ ถ้าดำรงตำแหน่งนี้จะทำให้บ้านเมืองเกิดภัยพิบัติฉิบหายเสีย เห็นแต่กรมขุนพรพินิต กอปรด้วยสติปัญญาเฉลียวฉลาดหลักแหลม สมควรจะดำรงเศวตฉัตรครองสมบัติรักษาแผ่นดินสืบไป
     จึงดำรัสสั่งเจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรีว่า จงไปบวชเสียอย่าให้กีดขวาง เจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรีไม่อาจขัดพระราชโองการได้จึงไปผนวชที่วัดละมุด ปากจั่น
     ต่อมาทรงพระกรุณาโปรดให้ทำพระราชพิธีอุปราชาภิเษก  ณ พระที่นั่งสรรเพชรปราสาท อัญเชิญเจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิจ เถลิงถวัลย์ราชย์ ณ ที่กรมพระราชวังบวรฯ

     พระเจ้าบรมโกศทรงพระประชวรหนัก ตรัสมอบราชสมบัติแก่กรมพระราชวังบวร เสด็จสวรรคตเมื่อ พ.ศ.2301 พระชนมายุได้ 78 พระพรรษา เสด็จดำรงราชสมบัติอยู่ได้ 26 ปี

(ขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

พระเจ้าท้ายสระ

พระเจ้าท้ายสระ (พ.ศ.2251-2275)
     พระเจ้าท้ายสระ หรือ สมเด็จพระสรรเพชญที่ 9 เป็นพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ ของพระเจ้าเสือ พระราชสมภพ ปี พ.ศ.2221 ขณะขึ้นครองราชย์ พระชนมายุ 30 พรรษา พระนามเดิมเจ้าฟ้าเพชร พระอัครมเหสีคือ กรมหลวงประชานุรักษ์ พระราชโอรสพระราชธิดามีพระนามดังนี้
     1.เจ้าฟ้านเรนทร
     2.เจ้าฟ้าหญิงเทพ
     3.เจ้าฟ้าหญิงปทุม
     4.เจ้าฟ้าอภัย
     5.เจ้าฟ้าปรเมศวร์ 
     ก่อนการขึ้นครองราชย์ของพระเจ้าท้ายสระ พระเจ้าเสือประชวรจะสวรรคต ทรงพิโรธเจ้าฟ้าเพชร จึงมอบเวนราชสมบัติให้เจ้าฟ้าพร แต่เจ้าฟ้าพรยอมถวายราชสมบัติให้แก่เจ้าฟ้าเพชร คนทั้งหลายนิยมเรียกว่า ขุนหลวงท้ายสระ เพราะทรงโปรดประทับอยู่ข้างพระที่นั่งท้ายสระ
     หลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์แล้ว โปรดให้พระบัณฑูรน้อยเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล พระเจ้าท้ายสระทรงโปรดการเลี้ยงปลาไว้ดูเล่น ที่ท้ายสระในพระราชวัง ทรงโปรดเสวยปลาตะเพียนเป็นพิเศษ ถึงกับมีพระราชโองการห้ามราษฎรกินปลาตะเพียน ผู้ใดกินปลาตะเพียนจะถูกปรับเป็นเงิน 5 ตำลึง และทรงโปรดการล่าสัตว์ ตกปลา
     ต่อมา ปี พ.ศ. 2263 พระเจ้าท้ายสระได้ส่งกองทัพบกและกองทัพเรือเข้าไปที่กัมพูชา และสามารถบังคับให้กัมพูชายอมส่งบรรณาการให้อยุธยาได้
     ในสมัยของพระเจ้าท้ายสระ การค้าข้าวของไทยรุ่งเรืองมาก เช่นขายให้ฮอลันดาในชวา ขายให้อังกฤษในอินเดีย และปี พ.ศ.2265 จีนซื้อข้าวจำนวนมหาศาลจากไทย (สมัยราชวงศ์ชิง) เนื่องจากการขาดแคลนข้าวในจีน
         ต่อมามีการย้ายพระพุทธไสยาสน์วัดป่าโมก ซึ่งน้ำได้กัดเซาะตลิ่งเข้ามาถึงพระวิหาร  การย้ายใช้เวลา 5 เดือนเศษ แต่การสร้างพระวิหาร และ ส่วนอื่นใช้เวลา 5 ปีเศษ งานจึงเสร็จ แต่ยังไม่ทันได้ฉลอง พระเจ้าอยู่หัวท้ายสระทรงพระประชวรหนัก พระเจ้าอยู่หัวท้ายสระจึงพระราชทานพระราชสมบัติแก่เจ้าฟ้าอภัย แต่พระมหาอุปราชพระบัณฑูรน้อยไม่เห็นด้วย ถ้าให้แก่เจ้าฟ้านเรนทรจึงจะยอมให้ เจ้าฟ้านเรนทร หรือ กรมขุนสุเรนทรพิทักษ์ทรงผนวชอยู่ เมื่อพระราชบิดามิได้เวนราชสมบัติให้ จึงมิได้ลาผนวช
     ฝ่ายเจ้าฟ้าอภัย พระบิดาให้อนุญาตแล้วจึงรับราชสมบัติ และต้องการทำสงครามกับพระมหาอุปราช (พระเจ้าอา) จึงสั่งจัดแจงผู้คนกระทำการตั้งค่ายคู ตั้งแต่ประตูข้าวเปลือกจนถึงประตูจีน แล้วมีรับสั่งให้ขุนศรียงยศ ไปตั้งค่ายริมสะพานข้ามคลองประตูข้าวเปลือก แล้วให้รักษาค่ายอยู่ที่นั่น
     เมื่อพระมหาอุปราชทราบดังนั้น จึงให้ตั้งค่ายประจันหน้าเตรียมพร้อมรบด้วยเช่นกัน

     ในระหว่างนี้ สมเด็จพระสรรเพชญที่ 9 หรือพระเจ้าท้ายสระ ทรงพระประชวรหนักและได้สวรรคตเมื่อปี พ.ศ.2275 พระชนมายุ 54 พรรษา ครองราชสมบัตินาน 24 ปี

วันพุธที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

สมเด็จพระเจ้าเสือ

สมเด็จพระเจ้าเสือ (พ.ศ.2246-2251)
     พระเจ้าเสือ หรือ สมเด็จพระสรรเพชญที่ 8 พระราชสมภพเมื่อ พ.ศ.2205 ที่จังหวัดพิจิตร (วัดโพธิ์ประทับช้าง) มีนามเดิมว่า “เดื่อ” รับราชการในกรมช้างตั้งแต่เล็ก ในตำแหน่ง หลวงสรศักดิ์ พระองค์เป็นบุตรบุญธรรมของพระเพทราชาเจ้ากรมช้าง ว่ากันว่าพระองค์ทรงเป็นโอรสลับพระนารายณ์กับธิดาพญาแสนหลวง ต่อมาพระองค์ ทรงดำรงตำแหน่งกรมพระราชวังบวร (วังหน้า) ในสมัยพระเพทราชา
     เมื่อกรมพระราชวังบวร (หลวงสรศักดิ์) ทรงทราบว่า สมเด็จพระเพทราชามอบเวนพระราชสมบัติให้กับเจ้าพระพิไชยสุรินทร์พระราชนัดดา จึงไม่ยอมเสด็จลงมายังพระราชวังหลวง ส่วนพระพิไชยสุรินทร์เกรงบารมีหลวงสรศักดิ์มาก ไม่กล้ารับราชสมบัติ และ ได้มอบราชสมบัติให้กับหลวงสรศักดิ์ต่อไป (โดยมามอบถึงพระราชวังบวรสถานมงคล)
     หลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แล้ว ทรงโปรดให้ เจ้าฟ้าเพชรพระราชโอรสพระองค์ใหญ่ขึ้นเป็น กรมพระราชวังบวรสถานมงคล และ เจ้าฟ้าพรพระราชโอรสพระองค์น้อยขึ้นเป็นพระบัณฑูรน้อย
     ต่อมาทรงโปรดให้สร้างวัดโพธิ์ประทับช้างขึ้นที่มีพระประสูติกาลนั้น ณ แขวงเมืองพิจิตร

สมเด็จพระเจ้าเสือ

     กรมหลวงโยธาเทพพระอัครมเหสีฝ่ายซ้ายของพระเพทราชาเกรงว่า ตรัสน้อยซึ่งเป็นพระราชโอรสอาจมีภัยเช่นเจ้าพระขวัญ จึงให้ทรงผนวชเป็นภิกษุตลอดชีวิต
     พระเจ้าเสือเสด็จไปคล้องช้างป่ากลางฤดูฝนที่แขวงเมืองนครสวรรค์ และค่ายที่ประทับกับค่ายล้อมช้างมีบึงใหญ่ขวางอยู่ จึงตรัสสั่งเจ้าฟ้าเพชรกับเจ้าฟ้าพร ให้เกณฑ์คนถมถนนข้ามบึงใหญ่นั้นไป ให้เสร็จภายในคืนเดียว เมื่อถนนเสร็จแล้วสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงเสด็จทรงช้างต้น ครั้นไปถึงกลางบึงที่นั่นเป็นหล่มลึกการถมไม่สู้แน่น เท้าหน้าช้างต้นเหยียบแล้วจมลงไปแล้วกลับขึ้นได้ ทำให้ทรงพระพิโรธ แก่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอทั้งสองพระองค์ ดำรัสว่าอ้ายสองคนนี้มันเห็นว่ากูแก่ชราแล้ว จึงชวนกันคิดเป็นกบฏ ทำเป็นพรุหล่มไว้ หวังจะให้ช้างกูขี่นี้เหยียบถลำหล่มล้มลง แล้วมันจะชวนกันฆ่ากูเสีย หมายจะเอาราชสมบัติ แล้วขับพระคชาธารข้ามไปจนถึงฝั่ง เมื่อเจ้าฟ้าเพชรและเจ้ฟ้าพรตามมาถึง พระเจ้าเสือได้ฟันเจ้าฟ้าเพชรด้วยพระแสงของ้าว แต่เจ้าฟ้าพรได้เอาด้ามพระแสงของ้าวขึ้นรับไว้ และพากันขับช้างพระที่นั่งหนีไป
     จึงมีพระราชโองการประกาศว่า ท่านทั้งหลายจงช่วยกันติดตามจับเอาตัวอ้ายกบฏสองคนมาให้เราจนได้ ต่อมาข้าราชการทั้งหลายได้ติดตามไปพบพระเจ้าลูกเธอทั้งสองพระองค์จึงนำมาถวาย ณ ค่ายหลวงจึงมีพระราชดำรัสให้ลงพระราชอาญาเฆี่ยน 30 ทีแล้วให้พันธนาการไว้ ตอนหลังกรมพระเทพามาตย์ทูลขออภัยโทษให้ พระเจ้าเสือก็ทรงยกโทษให้
     พระเจ้าเสือทรงโปรดการประพาสตกปลา และชกมวย ครั้งหนึ่งเสด็จไปสมุทรสาคร ผ่านคลองโคกขาม นายท้ายเรือพระที่นั่งชื่อ “พันท้ายนรสิงห์” คัดท้ายเรือไม่ดี หัวเรือชนต้นไม้หัก ตามกฎมณเฑียรบาล นายท้ายเรือต้องถูกประหาร แต่พระเจ้าเสือทรงมีเมตตาต่อพันท้ายนรสิงห์ จะไม่เอาโทษ แต่พันท้ายนรสิงห์ขอให้ประหารชีวิตตนเพื่อรักษากฎหมาย
     ต่อมาทรงให้ขุดคลองโคกขามที่เดิมนั้นคดเคี้ยวมากให้ตรงขึ้น ทำให้สัญจรได้สะดวกมากขึ้น ทรงให้ขุดคลองมหาชัย เชื่อมระหว่างแม่น้ำเจ้าพระยากับแม่น้ำท่าจีน

     สมเด็จพระเจ้าเสือทรงประชวรอยู่ ณ พระที่นั่งสุริยามรินทร์ ทรงมอบราชสมบัติให้กรมพระราชวังบวรสถานมงคล แล้วสวรรคต ปี พ.ศ.2251 พระชนมายุ 46 พรรษา ครองราชย์นาน 5 ปี

(ขอบคุณภาพจากข่าวสด)

วันอังคารที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

สมเด็จพระเพทราชา

 สมเด็จพระเพทราชา (พ.ศ.2231-2246)
     พระเพทราชาทรงเป็นต้นราชวงศ์บ้านพลูหลวง เสด็จขึ้นครองราชย์ขณะมีพระชนมายุได้ 56 พรรษา หลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แล้วโปรดให้  

พระเพทราชา

     เจ้าฟ้าศรีสุวรรณ (บางฉบับเรียกศรีสุพรรณ) กรมหลวงโยธาทิพ หรือ พระราชกัลยาณี เป็นพระอัครมเหสีฝ่ายขวา
     กรมหลวงโยธาเทพ พระราชธิดาของสมเด็จพระนารายณ์ เป็นพระอัครมเหสีฝ่ายซ้าย
     พระอัครมเหสีพระราชทาน (ธิดาพญาแสนหลวง) เป็นพระอัครมเหสีกลาง
     ทรงตั้งนายจบคชประสิทธิศิลป์ทรงบาศขวาในกรมช้างซึ่งเป็นคู่คิดเอาราชสมบัติด้วยนั้น เป็นกรมพระราชวังบวรสถานภิมุขฝ่ายพระราชวังหลัง
     นายกรินทคชประสิทธิ์ทรงบาศซ้าย ซึ่งเป็นพระราชนัดดาเป็นเจ้าราชนิกุล ชื่อเจ้าพระพิไชยสุรินทร์
     กบฏธรรมเถียร
     ธรรมเถียร ข้าหลวงเดิมของเจ้าฟ้าอภัยทศ (พระอนุชาพระนารายณ์) ปลอมตัวโดยติดไฝที่ใบหน้า ทำให้มองดูคล้ายกับว่าเจ้าฟ้าอภัยทศ ซึ่งถูกนำตัวไปสำเร็จโทษ ณ วัดซาก แขวงเมืองลพบุรีนั้นหาตายไม่ ทำให้มีคนเชื่อถือและรวบรวมสมัครพรรคพวกได้จำนวนมาก แล้วยกเป็นกองทัพเข้ามาเพื่อชิงเอาราชสมบัติกลับคืน แต่ไม่สำเร็จ ถูกปราบราบคาบ
     ต่อมาเมืองนครราชสีมากับนครศรีธรรมราชไม่ยอมรับอำนาจของพระเพทราชา เพราะเห็นว่าพระเพทราชาขึ้นครองราชโดยไม่ชอบธรรมและ ตนเองเป็นเจ้าเมืองที่สถาปนาโดยพระนารายณ์ และสั่งให้เตรียมพร้อมรับศึกจากเมืองหลวง
     สมเด็จพระเพทราชารับสั่งให้พญาสีหราชเดโชเป็นแม่ทัพยกพลหมื่นเศษ ไปตีเมืองนครราชสีมาแต่ตีไม่ได้ ครั้งที่ 2 รับสั่งให้อัครมหาเสนาบดีให้เกณฑ์กองทัพขึ้นไปตีเมืองนครราชสีมาให้จงได้ และตีได้สำเร็จ แต่เจ้าเมืองหนีไปได้
     ทางด้านเมืองนครศรีธรรมราช พระยารามเดโช เจ้าเมืองได้ซ่องสุมผู้คนสรรพาวุธ เป็นจำนวนมาก แล้วจะตีหัวเมืองตะวันตกทั้งปวง เมื่อได้แล้วจะยกพลเข้ามาตีกรุงศรีอยุธยาต่อไป และเจ้าเมืองนครราชสีมาที่หนีไปได้พาพรรคพวกไปเข้าด้วย ทำให้ดูเป็นกองกำลังที่ค่อนข้างน่ากลัว
     สมเด็จพระเพทราชาทราบเหตุ จึงทรงพระพิโรธ รับสั่งให้พระยาสุรสงครามเป็นแม่ทัพหลวง ถือพล 10000 ทัพเรือให้พระยาราชบังสันถือพล 5000 เรือรบ 100 ลำ แล้วไปพร้อมทัพที่แขวงเมืองไชยา แล้วร่วมกันไปตีเอาเมืองนครศรีธรรมราชให้จงได้ การสงครามต่อสู้กันนานถึง 3 ปี ด้วยพระยารามเดโชเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชเป็นแม่ทัพที่ชำนาญการศึก รบพุ่งด้วยความเข้มแข็งถึงแม้กำลังพลจะน้อยกว่าก็ตาม
     ในที่สุดเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชตัดสินใจหนี โดยความช่วยเหลือของพระยาราชบังสันแม่ทัพเรือของอยุธยา เนื่องจากเคยรับราชการด้วยกันมาสมัยพระนารายณ์ เข้าข่าย (เพื่อนช่วยเพื่อน) โดยพาพล 50 นายตีฝ่าไปทางพระยาราชบังสันในเวลากลางคืนและหนีไปลงเรือที่พระยาราชบังสันเตรียมไว้ให้แล่นหนีไปยังเมืองแขก ทัพกรุงก็เข้าเมืองได้
     พระยาสุรสงครามแม่ทัพหลวงแคลงใจ สั่งให้สอบสวนหาความจริง ในที่สุดความจริงถูกเปิดเผยออกมา จึงมีหนังสือบอกเข้าไปยังกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระเพทราชามีดำรัสสั่งให้เอาตัวพระยาราชบังสันไปตระเวนประจาน 3 วันแล้วให้ประหารชีวิตเสีย
     ในรัชกาลสมเด็จพระเพทราชา โปรดให้สร้างพระมหาปราสาทขึ้นองค์หนึ่งในพระราชฐานชั้นใน พระราชทานนามว่าพระที่นั่งบรรยงก์รัตนาสน์ แล้วให้ขุดสระเป็นคู่อยู่ซ้ายขวาพระที่นั่งองค์นี้ และต่อมาได้ช้างเผือกเข้ามาสู่พระบารมีหนึ่งช้าง ทรงพระราชทานนามว่า พระอินทไอยราพตคชบดินทร์วรินทรเลิศฟ้า
     ทางด้านการค้าขายกับต่างประเทศ ได้ค้าขายกับชาวฮอลันดา
     ปี พ.ศ.2246 สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าพระขวัญ ในพระอัครมเหสีฝ่ายขวา กรมหลงโยทาทิพ มีพระชันษาครบ 13 ปี จึงทรงพระกรุณาให้จัดแจงการพระราชพิธีโสกันต์ ณ พระที่นั่งสรรเพชญปราสาท
     หลังพระราชพิธีโสกันต์แล้วไม่นาน สมเด็จพระเพทราชาทรงพระประชวรเล็กน้อยเพียง 15 วัน พระอาการก็ทรุดหนักลง เสวยพระกระยาหารไม่ได้เลย ใกล้จะสวรรคตอยู่แล้ว จึงได้ตั้งกองล้อมวงขึ้น พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ต่างเข้าไปนอนในพระราชฐานชั้นใน
     แต่กรมพระราชวังบวร (หลวงสรศักดิ์) ไม่ลงมาเฝ้า แต่กลับวางแผนคิดการร้ายต่อเจ้าพระขวัญ ซึ่งเป็นรัชทายาทสายตรง เพราะดำรงศักดิ์ชั้นเจ้าฟ้า โดยออกอุบายให้มหาดเล็กไปเชิญเสด็จเจ้าพระขวัญว่า มีพระบัณฑูรให้เชิญเสด็จไปเฝ้าทรงพระกรุณาจะให้ทรงม้าเทศให้ทอดพระเนตรสักหน่อยหนึ่ง จึงทูลลาสมเด็จพระมารดาเสด็จมาเฝ้ากรมพระราชวังบวร ณ พระตำหนักหนองหวาย เมื่อมาถึงกรมพระราชวังบวรมิให้พระพี่เลี้ยง และผู้ติดตามเข้ามาแล้วให้ปิดประตูกำแพงแก้วนั้นเสีย
     จึงให้จับเจ้าพระขวัญสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทร์ในพระตำหนักหนองหวาย เสร็จแล้วให้เอาพระศพใส่ถุงแล้วใส่ลงในแม่ขัน ให้ข้าหลวงเอาไปฝังเสีย ณ วัดโคกพระยา แล้วเสด็จกลับพระราชวังบวรสถานมงคล

     เมื่อเจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาทิพทราบเหตุการณ์ร้ายแล้ว ทรงเสียพระทัย ทรงพระกรรแสงถึงพระราชบุตรและเสด็จเข้าเฝ้าสมเด็จพระเพทราชาซึ่งทรงพระประชวรอยู่ แล้วกราบทูลว่า กรมพระราชวังบวรมาฆ่าลูกข้าพเจ้าโดยหาความผิดไม่ได้ เมื่อสมเด็จพระเพทราชาทรงทราบก็ตกพระทัยอาลัยในพระราชโอรส ทรงพระพิโรธแก่กรมพระราชวังบวรเป็นอย่างมาก จึงมีพระราชดำรัสว่ากูไม่ให้ราชสมบัติแก่อ้ายสามคนพ่อลูกนี้แล้ว แล้วมีพระราชดำรัสให้เจ้าพระพิชัยสุรินทร์ราชนัดดา ขึ้นมาเฝ้าบนพระที่นั่งบรรยงก์รัตนาสน์ ซึ่งเสด็จทรงพระประชวรอยู่นั้น แล้วทรงพระกรุณาเวนราชสมบัติ ให้แก่เจ้าพระพิไชยสุรินทร์ แล้วสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็เสด็จสวรรคต พระชนมายุได้ 71 พรรษา ครองราชย์นาน 15 ปี

(ขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

วันจันทร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

สมเด็จพระนารายณ์มหาราช

สมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ.2199-2231)
     สมเด็จพระนารายณ์ทรงเป็นพระราชโอรสของสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง พระราชสมภพ พ.ศ.2175 มีพระขนิษฐาร่วมพระมารดาคือพระราชกัลยาณี พระราชมารดาคือเจ้าฟ้าหญิงสิริกัลยาณี หรือ พระนางสิริธิดา
     สมเด็จพระนารายณ์ได้รับการสนับสนุนให้ขึ้นครองราชย์ในปี พ.ศ.2199 ขณะมีพระชนมายุ 24 พรรษา เนื่องจากทรงเป็นถึงเจ้าฟ้า ที่ประสูติภายใต้เศวตฉัตร พระนามเดิมเจ้าฟ้านรินทร์ จึงมีผู้ให้ความเคารพนับถือ และสนับสนุนเป็นจำนวนมาก

สมเด็จพระนารายณ์มหาราช

     ขณะทรงพระเยาว์ พระนางศิริธิดา พระราชเทวีสิ้นพระชนม์ด้วยโรคฝีดาษ (บางฉบับว่าตกพระโลหิตหลังจากประสูติพระธิดาแล้วสวรรคต) พระเจ้าปราสาททองจำต้องหานางนมที่จะคอยดูแลพระโอรสและพระธิดาซึ่งยังทรงพระเยาว์อยู่มาก ทรงรำลึกได้ว่ามีญาติห่าง ๆ อยู่คนหนึ่งอยู่ใกล้วัดดุสิต ตำบลสวนพลู แขวงเมืองสุพรรณบุรี
          ญาติผู้นี้มีภรรยาสองคน คนแรกชื่อบัว (เจ้าแม่วัดดุสิต)มีบุตร 3 คน คือ บุตรชายคนโตชื่อเหล็ก (โกษาเหล็ก) คนที่สองเป็นหญิงชื่อแช่ม (ท้าวศรีจุฬาลักษณ์) คนที่สามชื่อปาน (โกษาปาน)
     คนที่สองชื่อเปรม มีบุตรชายคนหนึ่ง ต่อมา คือ พระเพทราชา มีอายุไล่เลี่ยกันกับ เหล็กและปาน
     พระเจ้าปราสาททองมีพระราชบัญชาให้หญิงหม้ายทั้งสองเข้ามาอยู่ในพระบรมมหาราชวัง เพื่อถวายการเลี้ยงดูพระโอรสและพระธิดา ทำให้ลูก ๆ ของนางทั้งสองได้เติบโตมาพร้อม ๆ กับสมเด็จพระนารายณ์ และมีความคุ้นเคยกันเป็นอย่างมาก เรียกว่าเป็นพระสหายก็ย่อมได้ ต่อมาสมเด็จพระนารายณ์โปรดให้ท่านเหล็กเป็น พระยาโกษาเหล็ก ท่านปานเป็นพระยาโกษาปาน พระเพทราชาเป็น เจ้ากรมพระคชบาล
     ปี พ.ศ.2200 มีฝรั่งเชื้อชาติกรีกเป็นนายกำปั่นคนหนึ่งได้เข้ามารับราชการด้วย มีชื่อว่า คอนแสตนตินฟอลคอน (วิไชเยนทร์) คนผู้นี้มีความฉลาดรอบรู้ จึงโปรดให้เป็นหลวงวิไชเยนทร์ ตอนหลังรับราชการก้าวหน้าจึงโปรดให้เป็น พระยาวิไชเยนทร์
     ปี พ.ศ.2204 ทรงทำสงครามครั้งแรกกับเชียงใหม่ ขณะนั้นเป็นเมืองขึ้นพม่าแต่ไม่สำเร็จ ต่อมาทางพม่ามีศึกภายใน จึงมีรับสั่งให้พระยาโกษาเหล็กเป็นแม่ทัพ และพระองค์ทรงเป็นทัพหลวง เตรียมตีเมืองเชียงใหม่อีกครั้ง และตีได้เมืองเชียงใหม่ในเวลาต่อมา สมเด็จพระนารายณ์ประทับที่เชียงใหม่ได้ 15 วัน จึงเสด็จกลับกรุงศรีอยุธยา โดยนำตัวพญาแสนหลวงและครอบครัวลงมาด้วย ระหว่างทางทรงมีสัมพันธ์กับธิดาพญาแสนหลวง เมื่อเสด็จถึงกรุงศรีอยุธยานางได้ตั้งครรภ์ขึ้นมา ด้วยความละอายเกรงการครหาจึงพระราชทานธิดาพญาแสนหลวงให้พระเพทราชา
     ปี พ.ศ.2205 สมเด็จพระนารายณ์เสด็จขึ้นไปนมัสการพระพุทธชินราชที่เมืองพิษณุโลก พระเพทราชาเจ้ากรมพระคชบาลได้จัดขบวนพยุหยาตราถวาย และได้ตามเสด็จฯไปในขบวนโดยมี “นางพระราชทาน” ที่มีครรภ์แก่ผู้เป็นภรรยาร่วมกระบวนช้างไปด้วย
     เมื่อเสด็จถึงบ้านโพธิ์ประทับช้าง นางพระราชทานเจ็บครรภ์จะคลอด จึงทรงพระกรุณาให้หยุดกระบวนช้างพระที่นั่ง ที่มีต้นโพธิ์และต้นมะเดื่อใหญ่ขึ้นอยู่ นางพระราชทานคลอดทารกเพศชาย สมเด็จพระนารายณ์ พระราชทานนามทารกว่า “เดื่อ”
     รัชสมัยของพระนารายณ์ เป็นยุคทองของวรรณคดี ทรงพระราชนิพนธ์เรื่อง สมุทรโฆษคำฉันท์ มีกวีที่มีชื่อเสียงคือ ศรีปราชญ์
     สมเด็จพระนารายณ์ทรงสร้างเมืองลพบุรีขึ้นเป็นราชธานีแห่งที่สอง ทรงโปรดเมืองลพบุรี เพราะอยู่ลึกและดูปลอดภัยกว่า ทั้งยังสนองพระราชอัธยาศัยในกีฬาล่าสัตว์ เสด็จไปประทับปีละ 8-9 เดือน
     สมเด็จพระนารายณ์ทรงโปรดการติดต่อกับชาวต่างชาติ เช่น จ้างทหารญี่ปุ่น ทหารโปรตุเกส ทหารอังกฤษ ทหารฝรั่งเศส เพื่อเข้าช่วยรบในยามศึกสงคราม สมุหนายกของพระองค์เป็นชาวกรีก มีชาวเปอร์เซียเข้ามารับใช้ด้วย
     ต่อมาสมเด็จพระนารายณ์ ได้ส่งทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีกับฝรั่งเศส
     กบฏแขกมักกะสัน คือพวกแขกที่หนีการยึดครองของฮอลันดาเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ต่อมาเกิดวางแผนฆ่าพระเจ้าแผ่นดินสยาม เพื่อยกเจ้านายของตนขึ้นเป็นกษัตริย์ แต่ไม่สำเร็จเพราะแผนการรั่วไหล จึงลงเรือหนีออกทะเล รวม 50 คน ฟอร์แบง แม่ทัพเรือได้รับคำสั่งจากกรุงศรีอยุธยาให้สะกัดจับ ในการต่อสู้ฟอร์แบงฆ่ากบฏได้ 17 คน ไทยเสียชีวิตไป 366 คน เนื่องจากกบฏเป็นพวกอำมหิต บ้าบิ่น โหดร้าย ต่อมาฟอร์แบงได้ขอกลับฝรั่งเศสในเวลาต่อมา
     ปี พ.ศ.2230 สมเด็จพระนารายณ์ทรงพระประชวรเรื่อยมา ประทับแต่ในพระราชวังจังหวัดลพบุรี โดยมีพระปีย์ พระราชโอรสบุญธรรมคอยเฝ้าถวายการปรนนิบัติ ตอนนี้อำนาจตกอยู่ในมือพระเพทราชา โดยมีหลวงสรศักดิ์ (เดื่อ)เป็นผู้ช่วยสำคัญ
     ฝ่ายเจ้าพระยาวิไชเยนทร์ ตอนนี้ไม่มี ฟอร์แบง อยู่ด้วย รู้ตัวดีว่าถ้าสมเด็จพระนารายณ์สวรรคตเมื่อใด พวกขุนนางจะต้องหาทางกำจัดตนแน่  และแล้วเหตุการณ์ต่อมา พระยาวิไชเยนทร์ถูกจับไปประหารชีวิต พระปีย์ถูกลอบสังหาร แม้แต่พระอนุชาของสมเด็จพระนารายณ์ยังถูกสำเร็จโทษ เมื่อสมเด็จพระนารายณ์ทรงทราบ และรู้ว่าผู้ก่อการคือสองพ่อลูก คือ พระเพทราชากับหลวงสรศักดิ์ แต่ทรงทำอะไรไม่ได้เนื่องจากทรงพระประชวรหนัก และเสด็จสวรรคตเมื่อ พ.ศ.2231 รวมพระชนมายุ 56 พรรษา ครองราชย์นาน 32 ปี เป็นอันสิ้นราชวงศ์ปราสาททอง
(ขอบคุณภาพจากผู้จัดการออนไลน์)

    

    


วันอาทิตย์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

สมเด็จพระศรีสุธรรมราชา

สมเด็จพระพระศรีสุธรรมราชา (พ.ศ.2198)
      สมเด็จพระศรีสุธรรมราชา หรือ สมเด็จพระสรรเพชญที่ 7 ขึ้นครองราชย์หลังสำเร็จโทษสมเด็จเจ้าฟ้าชัย พระองค์มีพระนามเดิมว่า นายอ่ำ และได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระศรีสุธรรมราชาในสมัยพระเจ้าปราสาททอง เมื่อพระองค์ขึ้นครองราชย์แล้ว โปรดให้สมเด็จพระนารายณ์เป็นพระมหาอุปราช ให้ไปประทับที่พระราชวังบวรสถานมงคล
     พระศรีสุธรรมราชา ไม่มีความรู้ในเรื่องการบริหารราชการแผ่นดิน สนใจแต่เรื่องอบายมุข ชอบดื่มเหล้า เล่นการพนัน เมื่อได้เป็นกษัตริย์แล้วนิสัยก็ไม่เปลี่ยน วันหนึ่งทรงเมาน้ำจันทร์ ได้เสด็จเข้าหา เจ้าฟ้าหญิงศรีสุวรรณพระขนิษฐาของสมเด็จพระนารายณ์หวังจะร่วมสังวาสด้วย เหตุการณ์มีดังนี้
     สมเด็จพระศรีสุธรรมราชา ทอดพระเนตรเห็นพระราชกัลยานีน้องของสมเด็จพระนารายณ์ราชนัดดา ทรงพระรูปสิริวิลาศเลิศนารี ก็มีพระทัยเสน่หาผูกพัน ปราศจากลัชชีสมโภค จึงให้หาขึ้นไปบนที่หวังจะร่วมรสสังวาสด้วยพระราชกัลยาณี พระราชกัลยาณีมิได้ขึ้นไป หนีลงมาพระตำหนักแล้วบอกเหตุกับพระนม พระนมจึงเชิญพระราชกัลยานีเข้าไปในตู้พระสมุดแล้วหามออกมา แสร้งว่าจะเอาตู้พระสมุดไปยังพระราชวังบวรสถานมงคล นายประตูก็มิได้สงสัย
     เมื่อสมเด็จพระนารายณ์ทรงทราบ จึงให้หาขุนนางเข้ามาในพระราชวังบวรสถานมงคล ตรัสแจ้งประพฤติเหตุให้ฟังทุกประการ เหล่าขุนนางต่างก็ทูลอาสาขอเอาชีวิตเป็นเดิมพัน แล้วมีรับสั่งให้เตรียมกองทัพ
     เมื่อกองทัพของวังหน้าพร้อมจึงบุกวังหลวงทันที ถึงกับเป็นสงครามกลางเมือง ไพร่พลทั้งสองฝ่ายล้มตายเป็นจำนวนมาก

     สมเด็จพระศรีสุธรรมราชาหนีออกจากวังหลวงไปหลบซ่อนอยู่ที่วังหลัง และในที่สุดถูกจับได้ และนำตัวไปสำเร็จโทษเสียตามประเพณีกษัตริย์ ณ วัดโคกพระยา พระศรีสุธรรมราชาเสวยราชย์ได้ สองเดือนเศษ

วันเสาร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

สมเด็จเจ้าฟ้าชัย

สมเด็จเจ้าฟ้าชัย (พ.ศ.2198)
     สมเด็จเจ้าฟ้าชัย หรือ สมเด็จพระสรรเพชญที่ 6 เดิมชื่ออิน ทรงเป็นโอรสของพระเจ้าปราสาททอง ที่เกิดจากมารดาเดิมก่อนที่จะขึ้นเป็นกษัตริย์ เมื่อครองราชย์แล้วจึงให้สถาปนาบุตรที่ชื่ออิน ขึ้นเป็น เจ้าฟ้าชัย
     พระเจ้าปราสาททองทรงโปรดเจ้าฟ้าชัยมาก เพราะถือว่าเป็นพระราชโอรสคู่บุญ เพราะว่าเมื่อบุตรชายคนนี้เกิดมา ท่านก็เจริญก้าวหน้าในราชการเรื่อยมา จนกระทั่งได้เป็นกษัตริย์ จึงหมายจะยกราชสมบัติให้กับเจ้าฟ้าชัยสืบต่อ
     ต่อมาพระนารายณ์ พระนามเดิมเจ้าฟ้านรินทร์ พระราชโอรสของพระเจ้าปราสาททอง ซึ่งไม่ค่อยถูกกันกับเจ้าฟ้าชัย ได้ร่วมมือกับเสด็จอา คือ พระศรีสุธรรมราชา เปิดศึกแย่งชิงราชสมบัติ เพราะพระศรีสุธรรมราชาเป็นพระอนุชาในสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง จึงอยู่ในข่ายที่จะสืบราชสมบัติได้ และบรรดาขุนศึก ทหาร และข้าราชการต่างเข้าด้วย ดังมีเหตุการณ์ดังนี้

     “เจ้าฟ้าชัยก็ได้ครองราชสมบัติ ครั้นอยู่มา สมเด็จพระนารายณ์เป็นเจ้า ก็ให้คนสอดออกมาคิดราชการด้วยพระศรีสุธรรมราชาผู้เป็นพระเจ้าอา พระเจ้าอาก็กำหนดเข้าไป ครั้นเพลาค่ำพระนารายณ์เป็นเจ้าก็พาพระขนิษฐาของพระองค์ลอบหนีออกทางประตูตัดสระแก้วไปหาพระเจ้าอา พระศรีสุธรรมราชากับพระนารายณ์ราชนัดดาสุมผู้คนพร้อมแล้ว ก็ยกเข้ามาในพระราชวัง กุมเอาเจ้าฟ้าชัยไปสำเร็จโทษเสีย ณ วัดโคกพระยา เจ้าฟ้าชัยครองราชสมบัติได้เก้าเดือน”

วันพฤหัสบดีที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

พระเจ้าปราสาททอง

พระเจ้าปราสาททอง (พ.ศ.2173-2198)
     พระเจ้าปราสาททอง หรือ สมเด็จพระสรรเพชญที่ 5 หลังจากพระราชพิธีราชาภิเษก ทรงเป็นต้นราชวงศ์ปราสาททอง ได้ปูนบำเหน็จข้าราชการที่มีส่วนช่วยเหลือจนพระองค์ได้ขึ้นครองราชสมบัติ ส่วนพระอาทิตยวงศ์นั้นทรงพระกรุณาให้อยู่ในพระบรมมหาราชวัง โดยมีพี่เลี้ยงนางนมคอยดูแล
     พระเจ้าปราสาททอง เป็นบุตรพระยาศรีธรรมราช ผู้เป็นพี่ชายของพระชนนีพระเจ้าทรงธรรม พระนามเดิมคือ พระองค์ไล เกิดในรัชกาลสมเด็จพระนเรศวร ครั้นถึงแผ่นดินสมเด็จพระเอกาทศรถ ทรงชุบเลี้ยงให้เป็นมหาดเล็ก รับราชการใกล้ชิดพระองค์แต่ยังเด็ก พออายุได้ 14 ปี ก็ทรงตั้งเป็นหุ้มแพร อายุ 17 ได้เลื่อนเป็นจมื่นศรีสรรักษ์ หัวหมื่นมหาดเล็ก
     จมื่นศรีฯ เป็นคนฉลาดและใจคอกล้าหาญ แต่ชอบไปข้างทางนักเลง มักวิวาทกับพวกพระยาแรกนาอยู่เสมอ สมเด็จพระเอกาทศรถทรงพิโรธ ดำรัสสั่งให้ข้าหลวงไปเอาตัว แต่จมื่นศรีฯ ซ่อนตัวอยู่ในวัดไม่ได้ตัวมาถวาย สมเด็จพระเอกาทศรถรับสั่งให้เอาพระยาศรีธรรมาธิราชผู้เป็นบิดามาขังเป็นตัวจำนำ จมื่นศรีฯ จึงเข้ามาสารภาพ มีรับสั่งให้จำไว้ 5 เดือน เจ้าขรัวมณีจันทร์ ซึ่งเป็นพระชายาของสมเด็จพระนเรศวรทูลขอโทษ จึงโปรดให้พ้นโทษออกมารับราชการตามเดิมจนตลอดรัชกาล ครั้นพระเจ้าทรงธรรมเสด็จผ่านพิภพ จึงทรงเลื่อนจมื่นศรีฯ ขึ้นเป็นพระยาศรีวรวงศ์ ตำแหน่งจางวางมหาดเล็ก

พระเจ้าปราสาททอง

     พระเจ้าปราสาททอง ได้สถาปนาลูกชายคนโต ชื่อ อิน ซึ่งเกิดก่อนจะได้เป็นกษัตริย์ เกิดจากภรรยาเดิมชื่อ บัวชุม ขึ้นเป็นเจ้า มีพระนามว่า เจ้าฟ้าชัย และมีน้องชายต่างมารดาอยู่คนหนึ่งชื่อ นายอ่ำ ทรงยกขึ้นให้เป็นเจ้า มีพระนามว่า พระศรีสุธรรมราชา ให้ตั้งบ้านเรือนอยู่ริมวัดสุทธาวาส
     ต่อมาโปรดให้สร้างวัดขึ้นเพื่อเป็นพระราชกุศลแห่งพระราชมารดา แล้วพระราชทานนามวัดนั้นว่า วัดไชยวัฒนาราม
     ในรัชสมัยของพระเจ้าปราสาททอง ทรงสร้างพระที่นั่งจักรวรรดิไพชยนต์มหาปราสาท พระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์ ณ เกาะบางนางอิน และวัดชุมพลนิกายาราม ในรัชกาลนี้ไม่มีศึกสงครามมาประชิด
     หลังจากครองราชย์ พระมหาเทวีประสูติพระราชโอรสพระองค์หนึ่ง พระญาติวงศ์หลายคนเหลือบเห็นเป็นสี่กร แล้วกลับเห็นเป็นสองกรตามปกติ พระเจ้าปราสาททองเห็นเป็นมหัศจรรย์ ก็พระราชทานนามว่า พระนารายณ์ราชกุมาร
     วันหนึ่งกลางพรรษา พระเจ้าปราสาททองเสด็จไปนมัสการพระพุทธปฏิมากร ณ วัดพระศรีสรรเพชญ ทอดพระเนตรเห็นพระอาทิตยวงศ์ ราชบุตรพระเจ้าทรงธรรม ซึ่งพระองค์ยกออกจากราชสมบัติ ขึ้นนั่งห้อยเท้าอยู่บนหลังกำแพงแก้ว จึงชี้พระหัตถ์ตรัสว่า ทำตัวทะนง องอาจนักที่ไม่ยอมลงจากกำแพงแก้วยามพระองค์เสด็จผ่าน จึงให้ถอดออกเสียจากฐานันดรศักดิ์ แล้วมีรับสั่งให้ไปปลูกเรือนที่ริมวัดท่าทราย ให้ อาทิตยวงศ์ อยู่ ให้คนอยู่ด้วยสองคน แต่พอหุงข้าว ตักน้ำ สั่งเสร็จแล้วจึงเสด็จเข้าพระราชวัง
     หลังจากถูกถอดออกจากฐานันดรศักดิ์ พระอาทิตยวงศ์มีอายุได้ 17 ปี ได้คบคิดกับขุนนางเก่า ครั้นรวบรวมพรรคพวกได้ประมาณ 200 คนเศษ เช้าตรู่วันหนึ่งได้กรูกันเข้าไปในพระบรมมหาราชวัง แต่ถูกจับได้ทั้งหมด ไต่สวนแล้วสั่งให้นำตัวไปประหารชีวิตเสียสิ้น

     สมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงพระประชวรหนัก แปรสถานลงไปอยู่พระที่นั่งเบญจรัตน ทรงพระกรุณามอบราชสมบัติ และ พระแสงขรรค์ชัยศรี ให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าชัย ได้ 3 วัน ก็เสด็จสวรรคต เมื่อ พ.ศ.2198 รวมอยู่ในราชสมบัติ 25 ปี พระชนมายุ 63 พรรษา

(ขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

วันพุธที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

สมเด็จพระอาทิตยวงศ์

สมเด็จพระอาทิตยวงศ์ (พ.ศ.2173)
     ภายหลังการปลงพระชนม์สมเด็จพระเชษฐาธิราชแล้ว ได้มีการเชิญเจ้าพระยากลาโหมขึ้นเป็นกษัตริย์ แต่เจ้าพระยากลาโหมมิได้รับ แล้วแจ้งแก่ข้าราชการทั้งหลายว่าควรจะยกพระอาทิตยวงศ์ขึ้นครองราชย์ต่อไป
     เจ้าพระยากลาโหมจึงทำพิธีราชาภิเษกพระอาทิตยวงศ์ อนุชาของสมเด็จพระเชษฐาธิราช พระชันษา 10 ขวบ ขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินผ่านพิภพพระนครศรีอยุธยาโดยมีเจ้าพระยากลาโหมเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน
     สมเด็จพระอาทิตยวงศ์ ยังทรงพระเยาว์อยู่มาก มิได้รู้ที่จะว่าราชการสิ่งใด มีแต่เที่ยวประพาสจับแพะ จับแกะเล่น เจ้าพนักงานต้องนำเครื่องทรงเครื่องเสวยตามไปถวายทุกแห่ง มีการถวายความรู้เรื่องการบริหารราชการแผ่นดิน แต่พระอาทิตยวงศ์ ไม่ทรงสนพระทัย (คงยังทรงพระเยาว์) เหตุการณ์ผ่านมาได้สักหกเดือนเศษ ข้าราชการจึงพากันไปขอร้องต่อเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ให้ขึ้นครองราชสมบัติ เพื่อเห็นแก่บ้านเมือง เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ทนอ้อนวอนมิได้ จึงต้องจำใจรับ แล้วจึงให้ปลงสมเด็จพระอาทิตยวงศ์ลงเสียจากราชสมบัติ แล้วทำพิธีราชาภิเษกเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ เมื่อ พ.ศ.2173 พระนามว่า พระเจ้าปราสาททอง ขณะพระชันษาได้ 30 ปีเศษ เป็นอันสิ้นสุดราชวงศ์พระร่วงแต่เพียงนี้

วันอังคารที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

สมเด็จพระเชษฐาธิราช

สมเด็จพระเชษฐาธิราช (พ.ศ.2171)
     สมเด็จพระเชษฐาธิราชเสด็จขึ้นครองราชย์ ภายหลังการสวรรคตของพระเจ้าทรงธรรมพระราชบิดา โดยมีพระยาศรีวรวงศ์คอยให้การช่วยเหลือ เนื่องจากพระเจ้าทรงธรรมได้ฝากฝังไว้ก่อนเสด็จสวรรคต
     พระยาศรีวรวงศ์สั่งให้จับเจ้าพระยามหาเสนาบดี และ ข้าราชการที่ไม่เห็นชอบด้วยแต่ก่อน เอาตัวไปประหารชีวิตเสียที่ท่าช้าง แล้วให้ริบเอาทรัพย์สมบัติมาแจกจ่ายแก่ผู้มีความชอบในพวกที่มาเข้าด้วย (เนื่องจากเจ้าพระยามหาเสนาบดี และข้าราชการฝ่ายหนึ่ง มีความเห็นว่าพระเชษฐายังเยาว์ เห็นควร ให้พระศรีศิลป์ พระอนุชาของพระเจ้าทรงธรรม ขึ้นครองราชย์จะเหมาะสมกว่า)
     หลังจากกำจัดเสี้ยนหนามหมดสิ้นแล้ว สมเด็จพระเชษฐาธิราช ทรงตั้งพระยาศรีวรวงศ์เป็นเจ้าพระยามหาเสนา ที่สมุหพระกลาโหม แทนที่เจ้าพระยามหาเสนาที่ถูกประหารชีวิตนั้น
     ต่อมา เจ้าพระยากลาโหม สั่งให้พระยาเสนาภิมุขไปลวง พระศรีศิลป์ พระเจ้าอาให้คุมกำลังเข้ามาปล้นพระราชวัง พระศรีศิลป์จึงถูกจับกุมขณะนำกำลังเข้ามาปล้นพระราชวัง และสั่งให้เอาตัวไปประหารชีวิต สมเด็จพระเชษฐาทรงขอชีวิตไว้ เจ้าพระยากลาโหมจึงสั่งให้เอาตัวไปใส่ตรุไว้ที่เมืองเพชรบุรี
     หลวงมงคลซึ่งเป็นญาติกับ พระศรีศิลป์ และพวกจำนวนหนึ่ง ลักลอบเข้ามาพาพระศรีศิลป์หนีไปได้ แล้วไปซ่องสุมผู้คนจำนวนมากเพื่อก่อการกบฏ
     สมเด็จพระเชษฐาธิราช ให้ยกกองทัพไปจับพระศรีศิลป์ เมื่อได้มาแล้วให้นำตัวไปสำเร็จโทษเสีย หลังจากเหตุการณ์นี้มาปีเศษ เจ้าพระยากลาโหมมีงานปลงศพมารดา เป็นงานใหญ่โตทำการหลายวัน พวกข้าราชการในราชสำนักต่างพากันไปช่วยงาน บางท่านถึงกับค้างคืนที่บ้านงาน ทำให้งานราชการบกพร่อง สมเด็จพระเชษฐาทรงพระพิโรธตรัสบริภาษคาดโทษ ว่าจะลงพระราชอาญา บรรดาข้าราชการที่ละหน้าที่
     ข้าราชการเหล่านั้นจึงไปปรับทุกข์กับเจ้าพระยากลาโหม และไม่ยอมมาเข้าเฝ้าพระเชษฐา สมเด็จพระเชษฐาตรัสปรึกษากับพวกข้าหลวงเดิมต่างพากันทูลว่า เจ้าพระยากลาโหมเห็นจะคิดเป็นกบฏ สมเด็จพระเชษฐาจึงมีรับสั่ง ให้ชาวป้อมล้อมวังขึ้นรักษาหน้าที่ และเตรียมทหารรักษาพระองค์ไว้ แล้วให้เชิญตัวเจ้าพระยากลาโหมให้เข้ามาเฝ้า

     เจ้าพระยากลาโหมก็ประกาศแก่คนทั้งปวงว่า เราได้ทำราชการมาด้วยความสุจริต เดี๋ยวนี้พระเจ้าแผ่นดินพาลเอาผิดว่าคิดกบฏ เมื่อภัยมาถึงตัวจำเป็นต้องเป็นกบฏตามรับสั่ง ข้าราชการทั้งปวงก็พากันยอมเข้าด้วย จึงคุมกำลังมาปล้นพระราชวัง จับสมเด็จพระเชษฐาธิราชได้ให้เอาตัวไปปลงพระชนม์เสีย เมื่อ พ.ศ.2173 สมเด็จพระเชษฐาครองราชย์สมบัติอยู่ได้ 1 ปี กับ 7 เดือน   

วันจันทร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

พระเจ้าทรงธรรม

พระเจ้าทรงธรรม (พ.ศ.2163-2171)
     พระเจ้าทรงธรรม หรือ พระอินทราชา เสด็จพระราชสมภพ พ.ศ.2133 เมื่อเสวยราชย์นั้น พระชันษาได้ 29 ปี มีพระราชโอรสที่เกิดแต่ พระมเหสี 2 พระองค์ คือ 1.สมเด็จพระเชษฐา 2.สมเด็จพระอาทิตยวงศ์
     พระเจ้าทรงธรรมทรงรอบรู้วิชาการหลายอย่าง ทรงประพฤติราชธรรมมั่นคง ทรงเป็นที่รักใคร่ของชาวไทยและต่างประเทศ ไม่โปรดที่จะทำสงคราม ทำให้เขมรกับเชียงใหม่ ไม่ขึ้นกับกรุงศรีอยุธยาอีกต่อไป

พระเจ้าทรงธรรม

     ในรัชสมัยของพระองค์มีการค้นพบรอยพระพุทธบาท ที่สระบุรี เมื่อปี พ.ศ.2166 พระองค์ทรงให้สร้างมณฑปครอบพระพุทธบาท มีการปฏิสังขรณ์วัดและพระพุทธรูปสำคัญ เช่นพระมงคลบพิตร มีการแต่ง มหาชาติคำหลวง และให้มีการสร้างพระไตรปิฎก
     ด้านการต่างประเทศ มีการค้าขายกับ อังกฤษ ฮอลันดา ญี่ปุ่น และถือว่าเป็นช่วงที่กำลังพัฒนาทางด้านนี้เป็นอย่างมากจนถึงสมัยพระนารายณ์

     สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมสวรรคตเมื่อปี พ.ศ.2171 พระชันษาได้ 38 ปี อยู่ในราชสมบัติ 8 ปี

(ขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

วันอาทิตย์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

เจ้าฟ้าศรีเสาวภาคย์

เจ้าฟ้าศรีเสาวภาคย์ (พ.ศ.2163)
     เจ้าฟ้าศรีเสาวภาคย์ หรือ สมเด็จพระสรรเพชญที่ 4 ภายหลังการเสด็จสวรรคต ของสมเด็จพระเอกาทศรถ ได้มีการ อัญเชิญสมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระศรีเสาวภาคย์ ซึ่งเสียพระเนตรข้างหนึ่งขึ้นผ่านพิภพไอศวรรยาธิปไตยเถลิงถวัลยราชตามประเพณีสืบไป
     เจ้าฟ้าศรีเสาวภาคย์ไม่เข้มแข็ง เคยถูกพวกญี่ปุ่นจับไปครั้งหนึ่ง ประกอบกอบกับข้าราชการไม่ยำเกรง ต่อมาสมเด็จพระศรีเสาวภาคย์จึงถูกกำจัดจากราชสมบัติ ครองราชย์สมบัติอยู่ไม่ถึงปี

      เหตุการณ์มีดังนี้ ขณะนั้นพระอินทราชา (พระเจ้าทรงธรรม) พระโอรสในสมเด็จพระเอกาทศรถกับพระสนมเอก บวชอยู่วัดระฆัง รู้พระไตรปิฎกสันทัด ได้สมณฐานันดรเป็นพระพิมลธรรมอนันตปรีชา ชำนาญทั้งในไตรเพทางคศาสตรราชมีศิษย์โยมมาก ทั้งจมื่นศรีสรรักษ์ก็ถวายตัวเป็นบุตรเลี้ยง จึงคิดกันกับจมื่นศรีสรรักษ์ ซ่องสุมสมัครพรรคพวกได้มากแล้ว พลบค่ำก็พากันไปชุมพล ณ ปรางค์วัดพระศรีมหาธาตุ ครั้นได้อุดมขัตฤกษ์ ก็ยกพลมาฟันประตูมงคลสุนทร เข้าไปได้ในท้องสนามหลวง ขุนนางซึ่งนอนเวรเอาความไปกราบทูล สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตกพระทัย ตะลึงไปเป็นครู่จึงตรัสว่า เวราแล้วก็ตามเถิด แต่อย่าได้ลำบากเลย พระพิมลเข้าราชวังได้ ก็ให้กุมเอาพระเจ้าแผ่นดินไปให้พันธนาไว้ให้มั่นคง รุ่งขึ้นให้นิมนต์พระสงฆ์บังสกุลร้อยหนึ่ง ให้ธูปเทียนมาแล้วก็ให้สำเร็จโทษด้วยท่อนจันทร์ เอาพระศพไปฝัง ณ วัดโคกพระยา  

วันเสาร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

สมเด็จพระเอกาทศรถ

สมเด็จพระเอกาทศรถ (พ.ศ.2148-2163)
     สมเด็จพระเอกาทศรถ หรือ สมเด็จพระสรรเพชญที่ 3 เสด็จขึ้นครองราชย์ภายหลังการเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระนเรศวร ขณะนั้นพระองค์ทรงมีพระชนมายุ 49 พรรษา ทรงมีพระราชโอรส 2 พระองค์ที่เกิดแต่พระมเหสี คือ
     1.เจ้าฟ้าสุทัศน์ (พระมหาอุปราช) ต่อมาเสวยยาพิษสวรรคต
     2.เจ้าฟ้าศรีเสาวภาคย์  ต่อมาประชวรพระยอดเสียพระเนตรข้างหนึ่ง
     และทรงมีพระราชโอรสที่เกิดแต่พระสนมเอก คือ
     1.พระอินทราชา (พระเจ้าทรงธรรม)
     2.พระศรีศิลป์
     3.พระองค์ทอง

สมเด็จพระเอกาทศรถ

      เหตุการณ์ในรัชสมัยของพระองค์ ไม่มีสงครามใด ๆ พระเอกาทศรถเป็นกษัตริย์อยุธยาองค์แรกที่ส่งฑูตไปถึงกรุงเฮก ประเทศฮอลันดา ปีพ.ศ.2151 และได้มีการค้าขายกันในเวลาต่อมา
     ทั้งพระนเรศวรและพระเอกาทศรถ ทรงโปรดชาวต่างชาติ มีการติดต่อกับโปรตุเกส และญี่ปุ่น สมเด็จพระเอกาทศรถไม่โปรดการทำสงคราม แต่ทรงมุ่งเน้นไปทางติดต่อค้าขายกับต่างชาติ

     สมเด็จพระเอกาทศรถเสด็จสวรรคต ในปี พ.ศ.2163 รวมพระชนมายุ 64 พรรษา ครองราชย์นาน 15 ปี ขณะที่ยังไม่ได้ตั้งผู้ใดสืบทอดราชสมบัติ ภายหลังการสวรรคตของเจ้าฟ้าสุทัศน์ พระมหาอุปราช

(ขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

วันพุธที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

สมเด็จพระนเรศวรมหาราช



สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาพจากวิกิพีเดีย

สมเด็จพระนเรศวรมหาราช (พ.ศ.
2133-2148)
     สมเด็จพระนเรศวรหรือสมเด็จพระสรรเพชญที่ 2 เสด็จขึ้นครองราชย์ขณะมีพระชนพรรษาได้ 35 พรรษา พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์นักรบ ทรงมีความรู้ความสามารถและเชี่ยวชาญในการศึก ทรงมีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวเป็นอย่างมาก และทรงถนัดการใช้อาวุธหลัก ๆ ทุกชนิด ตลอดจนการทรงช้างหรือม้าในการต่อสู้ ก็ทรงใช้ได้อย่างเยี่ยมยอด ทรงฉายแววในการกู้ชาติตั้งแต่อยู่พม่า กล่าวคือ เมื่อมีการตีไก่กันระหว่างสมเด็จพระนเรเศวรกับพระมหาอุปราชา พระมหาอุปราชาตรัสว่า “ไก่เชลยตัวนี้เก่งจริงหนอ” สมเด็จพระนเรศวรได้ยินดังนั้น จึงตรัสตอบว่า “ไก่เชลยตัวนี้ อย่าว่าแต่จะตีกันอย่างกีฬาในวังเหมือนอย่างวันนี้เลย ตีพนันบ้านเมืองกันก็ยังได้”
     ย้อนเหตุการณ์ไปในปี พ.ศ.2128 ในสมัยพระมหาธรรมราชา (ซึ่งไทยได้ประกาศอิสรภาพแล้ว) พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรง รับสั่งให้พระมหาอุปราชาคุมกองทัพ 50000 เข้ามาตั้งอยู่ที่เมืองกำแพงเพชร ให้ไพร่พลทำนาตามท้องทุ่งในหัวเมืองเหนือ เพื่อเป็นเสบียงซึ่งพระเจ้าหงสาวดีจะเสด็จยกทัพใหญ่มาเองในฤดูแล้ง
     ระหว่างนั้นพระเจ้าเชียงใหม่ ซึ่งทางกรุงหงสาวดีได้ให้นำกำลังพล 60000 และทัพหน้าราว 15000 ยกทัพลงมากรุงศรีอยุธยาแต่ถูกทัพของสมเด็จพระนเรศวรตีแตกพ่ายไป
     ถึงปี พ.ศ.2129 พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรง ยกกองทัพหลวงมาทางด่านแม่สอด มาประชุมทัพที่กำแพงเพชร จำนวนพล 250000 ประกอบด้วยทัพหลวงคือพระเจ้าหงสาวดี ทัพพระมหาอุปราชา และทัพพระเจ้าตองอู ส่วนทัพพระเจ้าเชียงใหม่ดูแลด้านเสบียง และทัพทั้งหมดเดินทางต่อจนมาถึงกรุงศรีอยุธยา
     การสงครามครั้งนี้ทางพม่าไม่สามารถเอาชนะไทยได้ ด้วยสมเด็จพระนเรศวรทรงบัญชาการรบได้อย่างเข้มแข็งเด็ดขาด วีรกรรมที่สำคัญเช่นทรงคาบพระแสงดาบเข้าปล้นค่ายพระเจ้าหงสาวดี และแทงลักไวทำมูตายด้วยพระแสงทวน
     พระเจ้าหงสาวดี ล้อมกรุงมาจนถึง พ.ศ.2130 เห็นว่าใกล้ฤดูฝน รี้พลก็ล้มตายไปมาก จึงมีรับสั่งให้ถอยทัพ
     ต่อมาทางพม่าเมื่อทราบข่าวว่ามีการผลัดแผ่นดิน พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงจึงมีรับสั่งให้พระมหาอุปราชา คุมกองทัพจำนวนพล 200000 โดยให้พระยาพสิม กับ พระยาพุกาม เป็นกองหน้า ยกออกจากกรุงหงสาวดี พ.ศ.2133 เข้ามาทางด่านพระเจดีย์สามองค์ ใช้เวลา 15 วันก็ถึงกรุงศรีอยุธยา
     สมเด็จพระนเรศวรทรงใช้อุบาย ให้กองทัพพม่าเข้ามาติดกับ และรบพุ่งกันถึงขั้นตะลุมบอน การรบครั้งนี้ทหารพม่าถูกฆ่าตายเป็นอันมาก พระยาพุกามตายในที่รบ จับเป็นพระยาพสิมได้ และกองทัพหลวงพระมหาอุปราชาแตกทัพหนี กองทัพไทยเกือบจับพระมหาอุปราชาได้

     สงครามยุทธหัตถี
     ถึงปี พ.ศ.2135 พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงมีรับสั่งให้จัดกองทัพสามเมือง คือ
      1 กองทัพเมืองหงสาวดี ให้เจ้าเมืองจาปะโร เป็นทัพหน้า ให้พระมหาอุปราชาเป็นกองทัพหลวง
      2 กองทัพเมืองแปร ให้พระเจ้าแปรเป็นกองทัพหนุน
      3 กองทัพเมืองตองอู ให้นัตจินหน่อง บุตรพระเจ้าตองอูเป็นทัพสมทบ
     รวม 3 ทัพ จำนวนพล 240000 และมีรับสั่งให้พระเจ้า
     เชียงใหม่ยกกองทัพมาสมทบด้วย

หนังสือไทยรบพม่ากล่าวว่า
     กองทัพหลวงโดยสมเด็จพระนเรศวรกับสมเด็จพระเอกาทศรถ เสด็จโดยกระบวนเรือพระที่นั่งจากพระนคร ไปทำพิธีตัดไม้ข่มนามที่ทุ่งลุมพลี แล้วเสด็จไปยังที่ตั้งทัพไชย ณ ตำบลมะม่วงหวาน ประทับแรมจัดกระบวนทัพอยู่ 3 ราตรี แล้วเสด็จยกกองทัพหลวงมีจำนวนพล 100000 ออกจากทุ่งป่าโมก ไปเมืองสุพรรณบุรีทางบ้านสามโก้ แล้วข้ามลำน้ำสุพรรณที่ท่าท้าวอู่ทอง ไปถึงค่ายหลวงที่ หนองสาหร่าย ริมลำน้ำท่าคอย
     ฝ่ายพระมหาอุปราชายกกองทัพเข้ามาทางด่านพระเจดีย์ 3 องค์  มาหยุดทัพที่ตำบลตระพังกรุ แขวงเมืองสุพรรณบุรี กองทัพทั้งสองพบกันที่บ้านหนองสาหร่าย
     การทำยุทธหัตถี มีการบันทึกไว้ว่า ช้างพระที่นั่งของสมเด็จพระนเรศวรกับช้างพระที่นั่งของสมเด็จพระเอกาทศรถเกิดตกมัน พาสมเด็จพระนเรศวรกับพระเอกาทศรถเข้าไปในกลางหมู่ข้าศึก มีแต่จตุลังคบาทกับทหารรักษาพระองค์ตามติดไป ทัพอื่นตามไม่ทัน
     สมเด็จพระนเรศวรทอดพระเนตรเห็นพระมหาอุปราชา จึงขับช้างพระที่นั่งเข้าไปหาแล้วร้องตรัสไปว่า “เจ้าพี่ จะยืนช้างอยู่ในร่มไม้ทำไม เชิญเสด็จมาทำยุทธหัตถีกันให้เป็นเกียรติยศเถิด กษัตริย์ภายหน้าที่จะชนช้างได้อย่างเราจะไม่มีแล้ว” พระมหาอุปราชาได้ยินดังนั้นจึงไสพลายพัทธกอขับตรงออกมาชนกับเจ้าพระยาไชยานุภาพช้างทรงของสมเด็จพระนเรศวร
     ฝ่ายเจ้าพระยาไชยานุภาพเห็นช้างศึกตรงออกมาจึงเข้าโถมแทงทันที ทำให้พลายพัทธกอได้ล่างแบกรุนเจ้าพระยาไชยานุภาพเบนจะขวางตัว พระมหาอุปราชาได้ทีจึงฟันด้วยพระแสงของ้าว แต่สมเด็จพระนเรศวรเบี่ยงพระองค์หลบทัน ถูกแต่ถูกชายพระมาลาหนังบิ่นไป พอเจ้าพระยาไชยานุภาพสะบัดหลุดแล้วกลับชนได้ล่างแบกถนัด รุนเอาพลายพัทกอ หันเบนไป สมเด็จพระนเรศวรก็จ้วงฟันด้วยพระแสงของ้าวถูกพระมหาอุปราชาที่ไหล่ขวาขาด ซบสิ้นพระชนม์อยู่กับคอช้าง ส่วนสมเด็จพระเอกาทศรถได้ชนช้างกับเจ้าเมืองจาปะโร และฟันเจ้าเมืองจาปะโรตายเหมือนกัน ทางทัพพม่าจึงได้เลิกทัพกลับ
     ต่อมา พ.ศ. 2135 ได้เมืองทะวาย กับเมืองตะนาวศรี คืนจากพม่า พ.ศ.2136 ทำพิธีเฉลิมพระราชมนเทียร เสด็จไปประทับในพระราชวังหลวง แล้วโปรดให้ตั้งหัวเมืองเหนืออย่างเดิมหลังจากปล่อยทิ้งร้างอยู่ 8 ปี
     ปลายปี พ.ศ.2136 สมเด็จพระนเรศวรมีรับสั่งให้เกณฑ์พลเมืองนครนายก เมืองปราจีน เมืองฉะเชิงเทรา และ เมืองสระบุรี เข้าเป็นกองทัพ ให้พระยานครนายกเป็นนายพล ยกไปตั้งค่ายปลูกยุ้งฉางรวบรวมเสบียงอาหารเตรียมไว้ทัพหนึ่ง เพื่อเตรียมตีเมืองเขมร เนื่องจากทัพเขมรชอบแต่งกองทัพเข้ามาเที่ยวปล้นทรัพย์ จับคนในเมืองไทยทางแขวงเมืองปราจีนฯไปเป็นเชลย ยามเมื่อไทยมีสงครามติดพันกับพม่าอยู่เสมอ
     ทางใต้ทรงมีรับสั่งให้เกณฑ์หัวเมืองปักษ์ใต้ตั้งแต่เมืองสงขลาขึ้นมาจนเมืองเพชรบุรีเป็นกองทัพเรือ ให้พระยาเพชรบุรีเป็นนายพลคุมเรือลำเลียงเสบียงอาหารไปขึ้นที่เมืองป่าสักในแดนเขมรทัพหนึ่ง
     ปี พ.ศ.2138 สมเด็จพระนเรศวรเสด็จยกทัพหลวงพร้อมด้วยสมเด็จพระเอกาทศรถออกจากพระนครเพื่อไปตีเขมร โปรดให้พระราชมนูเป็นทัพหน้า ให้พระยาราชวังสันเป็นนายพลคุมทัพเรือไปตีเมืองบันทายมาศ ทัพบกให้เจ้าพระยานครราชสีมาเกณฑ์พลในเมืองนั้นยกไปทางเมืองเสียมราฐ ตรัสสั่งให้กองทัพพระยานครนายก เข้าสมทบในกองทัพหลวง
     กองทัพไทยยกลงไปถึงพระตระบอง ตีได้เมืองพระตระบอง ตีได้เมืองโพธิสัตว์ ตีได้เมืองบริบูรณ์ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ พระศรีสุพรรณมาธิราช อนุชานักพระสัฏฐา ซึ่งรักษาเมืองอยู่หนีไปเมืองละแวกได้ กองทัพไทยจึงเดินทางต่อไปถึงเมืองละแวก สมเด็จพระนเรศวรก็ตรัสสั่งให้เข้าตั้งประชิดติดเมืองทุกด้าน
     ในที่สุดกองทัพไทยก็ตีเขมรแตก ได้ตัวนักพระสัฏฐาและพระศรีสุพรรณมาธิราช ให้ประหารนักพระสัฏฐา และนำพระศรีสุพรรณมาธิราชกลับกรุงศรีอยุธยา พร้อมกวาดต้อนเชลยศึกกลับมาด้วย
     ต่อมาพระยาศรีไสยณรงค์เจ้าเมืองตะนาวศรีเป็นกบฏ จึงโปรดให้สมเด็จพระเอกาทศรถยกลงไปปราบ แต่พระยาศรีไสยณรงค์มิได้ต่อสู้ จึงถูกจับ แต่เนื่องด้วยปิดประตูเมืองไม่ออกมาเข้าเฝ้า และเกณฑ์คนขึ้นรักษาเชิงเทิน จึงมีความผิด สมเด็จพระนเรศวรมีรับสั่งให้ประหารชีวิตเสียที่เมืองตะนาวศรี
     สมเด็จพระนเรศวรได้ยกทัพไปตีกรุงหงสาวดี ในสมัยพระเจ้านันทบุเรง 2 ครั้ง ครั้งแรก พ.ศ. 2138 โดยยกพลไป 120000 ล้อมเมืองหงสาวดีอยู่ 3 เดือน แต่ตีไม่ได้ เนื่องจากทัพเมืองแปร ตองอู อังวะ ยกทัพมาช่วย พระองค์จึงกวาดต้อนครัวหงสาวดีมาเป็นเชลยเป็นอันมาก
     ครั้งที่ 2 พ.ศ.2142 แต่กลับเจอเมืองร้างที่ถูกพวกยะไข่ที่แต่งเป็นกองโจรเผากรุงหงสาวดีทิ้ง และนัตจินหน่องเจ้าเมืองตองอูพาพระเจ้านันทบุเรงหนีไปที่เมืองตองอู สมเด็จพระนเรศวรได้ยกทัพตามไปถึงเมืองตองอูและล้อมอยู่ 2 เดือนไม่สามารถตีเมืองตองอูได้ เนื่องจากชัยภูมิดี ประกอบกับฝนตกชุก และกองทัพขาดเสบียง จึงโปรดให้ยกกองทัพกลับ
     ต่อมาไทยได้เชียงใหม่ แสนหวีเป็นประเทศราช พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงถูกลอบวางยาพิษที่เมืองตองอูจนสิ้นพระชนม์ แล้วแผ่นดินพม่าจึงแตกออกเป็นสามก๊ก คือ
     1.พระเจ้าตองอู
     2.พระเจ้าแปร
     3.พระเจ้าอังวะ เข้มแข็งที่สุด พระเจ้าแผ่นดินคือ พระเจ้าสีหสุธรรมราชา จึงคิดขยายอาณาเขตไปทางไทยใหญ่ก่อน และตีได้เมืองเมืองไทยใหญ่ (19เจ้าฟ้า) ได้โดยลำดับ และตีจนถึงเมืองหน่าย เมืองแสนหวีที่ขึ้นกับไทย
     สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงทราบก็ขัดเคือง มีดำรัสสั่งให้เกณฑ์รี้พลจำนวน 100000 เข้ากองทัพแล้วจะเสด็จไปตีพม่าที่อังวะ โดยจะเสด็จไปทางเชียงใหม่แล้วข้ามแม่น้ำสาละวินที่เมืองหาง ผ่านแคว้นไทยใหญ่เข้าไปพม่าคือเมืองอังวะ และจะเกณฑ์เอาทัพมอญกับทัพเชียงใหม่เข้าสมทบ จำนวนพลเบ็ดเสร็จราว 200000
     สมเด็จพระนเรศวรกับสมเด็จพระเอกทศรถ เสด็จออกจากกรุงศรีอยุธยา พ.ศ.2148 เสด็จถึงเชียงใหม่หยุดพักจัดกระบวนทัพ 1 เดือน แล้วให้กองทัพสมเด็จพระเอกาทศรถยกไปทางเมืองฝาง ส่วนกองทัพหลวงยกไปทางเมืองหาง
     ครั้นเสด็จถึงเมืองหางแล้ว ตั้งค่ายหลวงประทับอยู่ที่ทุ่งแก้ว สมเด็จพระนเรศวรประชวรเป็น ละลอก ขึ้นที่พระพักตร์ แล้วกลายเป็นบาดทะพิษพระอาการหนัก จึงโปรดให้ข้าหลวงรีบไปเชิญเสด็จสมเด็จพระเอกาทศรถมาเฝ้า

     สมเด็จพระเอกาทศรถเสด็จมาถึงได้ 3 วัน สมเด็จพระนเรศวรก็สวรรคตที่เมืองหาง พ.ศ. 2148 พระชันษา 50 ปี เสวยราชสมบัติได้ 15 ปี

กรมหลวงโยธาเทพ

กรมหลวงโยธาเทพ ภายหลังออกพระนามว่า สมเด็จพระรูปเจ้า มีพระนามเดิมว่า พระสุดาเทวี (คำให้การชาวกรุงเก่า) หรือ เจ้าฟ้าสุดาวดี (พ.ศ. 2199—2278) เ...