สมเด็จพระบรมราชาที่
3 (พ.ศ.2301-2310)
สมเด็จพระบรมราชาที่
3 พระที่นั่งสุริยามรินทร์ หรือพระเจ้าเอกทัศ เสด็จขึ้นครองราชสมบัติในเวลาต่อมา
ภายหลังการมอบราชสมบัติจากพระอนุชา แต่ข้าราชการไม่สามัคคีกัน
ทางด้านพม่ามี
“มังอองใจยะ” ได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์
ทรงพระนามว่าพระเจ้าอลองพญา แล้วสร้างเมืองรัตนสิงค์เป็นราชธานี
มีผู้คนชาวพม่ามาเข้าด้วยมาก แล้วปราบได้เมืองอังวะ เมืองแปร
และเมืองหงสาวดี ตามลำดับ
ปี
พ.ศ.2302 พระเจ้าอะลองพญา ให้มังระราชบุตรคุมทัพ 8000 มาตีเมืองทวายได้แล้ว
เลยมาตีตะนาวศรี และมะริด ได้อีก จึงมีรับสั่งให้เตรียมกองทัพที่เมืองตะนาวศรี
ให้มังระราชบุตรเป็นทัพหน้า พระเจ้าอลองพญาเป็นทัพหลวง แล้วยกเข้ามาทางด่านสิงขร
ทัพไทยไม่สามารถต้านพม่าได้
เนื่องจากการข่าวไม่ดีทำให้จัดทัพรับพม่าไม่ตรงจุด จึงถอยมาที่กรุงศรีอยุธยา
พระเจ้าเอกทัศจึงมีรับสั่งให้ไปเชิญสมเด็จพระอนุชาลาผนวช
แล้วมอบราชการทั้งปวงให้ทรงบังคับบัญชาต่างพระองค์
พระเจ้าอุทุมพรจึงมีรับสั่งจัดทัพพล
20000 ให้พระยามหาเสนาเป็นแม่ทัพ ยกออกไปตั้งรับข้าศึกที่บ้านทุ่งนาตาลาน ติดกับสุพรรณบุรี
แต่ไม่สามารถต้านทัพพม่าได้ ถูกตีแตกกระเจิงโดยเจ้าพระยามหาเสนาตายในสนามรบ
พระเจ้าอลองพญาจึงให้เคลื่อนทัพเข้าล้อมกรุงศรีอยุธยา
ต่อมาพม่าเอาปืนใหญ่มาตั้ง ณ วัดราชพลี วัดกษัตรา ยิงเข้าไปในพระนคร
พระเจ้าอุทุมพรทรงช้างพระที่นั่งเสด็จไปบัญชาการให้เจ้าหน้าที่ยิงปืนป้อมตอบโต้พม่า
ยิงกันอยู่จนเวลาเย็นพม่าก็เลิกทัพกลับไปค่าย
ถึงเดือนหกพม่าเอาปืนใหญ่มาตั้งจังก้าที่หน้าวัดพระเมรุราชิการาม
และวัดช้าง ระดมยิงเข้าไปในพระราชวังทั้งกลางวันกลางคืน
ลูกปืนถูกยอดพระที่นั่งสุริยาสน์อัมรินทร์หักทำลายลงวันนั้นพระเจ้าอลองพญามาทรงบัญชาการและจุดปืนใหญ่เอง
เผอิญปืนใหญ่แตกถูกพระองค์ประชวรบาดเจ็บสาหัส
วันรุ่งขึ้นพม่าก็เลิกทัพกลับขึ้นไปทางเหนือโดยด่วน กลับออกไปทางด่านแม่ละเมา
แต่ไปยังไม่พ้นแดนเมืองตาก พระเจ้าอลองพญาก็สิ้นพระชนม์ในกลางทาง
ทางด้านกรุงศรีอยุธยาหลังจากพม่ายกทัพกลับ
ก็ลงมือซ่อมแซมพระนครป้อมปราการต่าง ๆ ให้ดีดังเก่า แต่ข้าราชการยังแตกความสามัคคี
อยู่มาวันหนึ่งเพลากลางคืน
มีพระราชโองการให้หาพระอนุชาธิราชเข้าเฝ้าถึงที่ข้างใน ครั้นเสด็จเข้าไป
ทอดพระเนตรเห็นพระเจ้าพี่ถอดพระแสงดาบพาดพระเพลาอยู่ ก็เข้าพระทัยว่าทรงรังเกียจจะทำร้าย
มิให้อยู่ในฆราวาส จึงเสด็จกลับออกมา ณ ที่ข้างหน้า
ครั้นถึงเดือนแปด
จึงเสด็จลงเรือพระที่นั่งออกไป ณ วัดโพธิ์ทองคำหยาด
ทรงพระผนวชแล้วเสด็จกลับเข้ามาอยู่ ณ วัดประดู่ดังแต่ก่อน
ทางด้านพม่าเมื่อพระเจ้าอลองพญาสวรรคต
พระเจ้าปวรมหาธรรมราชา (มังลอก) ขึ้นครองราชย์ต่อจากพระบิดาในปี พ.ศ.2303
และครองราชย์ได้ 4 ปี จึงสิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ.2306 พระเจ้าศิริสุธรรมมหาราชาธิบดี
(มังระ) ขึ้นครองราชย์ต่อมา (ช่วงนั้นได้ปราบกบฏอยู่หลายปีจนราบคาบ)
ปี
พ.ศ.2308 พระเจ้ามังระมีรับสั่งให้เนเมียวสีหบดีเป็นแม่ทัพใหญ่ยกเข้ามาทางเหนือจากเมืองเชียงใหม่
ให้มังมหานรธายกกองทัพเข้ามาตีเมืองทวาย เสร็จแล้วให้เข้ามาตีหัวเมืองปักษ์ใต้
ซึ่งก็ตีได้อย่างง่ายดาย และผ่านมาถึงแขวงเมืองราชบุรี
มังมหานรธายกกองทัพครั้งนั้นมีพล 30000 ได้มายั้งทัพรอที่บ้านสีกุกแขวงเมืองสุพรรณบุรี
ทางด้าน
เนเมียวสีหบดีแม่ทัพใหญ่ยกทัพมาทางเหนือ มีเพียงเมืองตากที่ต่อสู้แต่ทานกำลังมิได้
แต่ต้องใช้เวลาต่อสู้กับ ชาวบ้านบางระจันอยู่ประมาณ 5 เดือน
(ขอยกย่องในวีรกรรมที่กล้าหาญของชาวบ้านบางระจัน)
จึงลงมารวมพลกับกองทัพของมังมหานรธาได้ โดยได้ตั้งทัพแบบไม่ประชิดพระนครเพื่อรอทัพหนุนจากพระเจ้ามังระจะส่งมาสมทบ
ต่อมามังมหานรธาได้ล้มป่วยลงและถึงแก่ความตายที่ค่ายสีกุก
และเนเมียวสีหบดีจึงขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่เพียงผู้เดียว
สงครามในครั้งนี้ไทยได้สู้รบกับพม่าหลายครั้งและสุดท้ายไทยก็ได้พ่ายแพ้ต่อสงคราม
ดังมีการบันทึกไว้ดังนี้
ครั้นถึงวันอังคาร
เดือน 5 ขึ้น 9 ค่ำ ปีกุน พ.ศ. 2310 เป็นวันเนาสงกรานต์
เพลาบ่าย 3 โมง พม่าก็จุดไฟสุมรากกำแพงเมือง
ตรงหัวรอริมป้อมมหาไชย และยิงปืนระดมเข้าไปในพระนครจากบรรดาค่ายต่าง ๆ
ที่รายล้อมทุก ๆ ค่าย พอเพลาพลบค่ำ 8 นาฬิกา
กำแพงเมืองตรงที่เอาไฟสุมทรุดลง แม่ทัพพม่าก็ยิงปืนเป็นสัญญาณให้เข้าปีน
ปล้นพระนคร พร้อมกันทุกด้าน
พวกพม่าเอาบันไดพาดปีนเข้าได้ตรงที่กำแพงทรุดนั้นก่อนชาวพระนครที่รักษาหน้าที่เหลือกำลังจะต่อสู้
พม่าก็เข้าพระนครได้ในเวลาค่ำวันนั้นทุก ๆ ด้าน ทุก ๆ ทาง
นับเวลาที่พม่ายกมาตั้งล้อมพระนครศรีอยุธยา 1 ปี
กับ 1 เดือน จึงเสียกรุงศรีอยุธยาให้กับพม่า
ส่วนพระเจ้าเอกทัศพวกพม่าได้ไปพบที่บ้านจิก
เวลานั้นได้อดพระอาหารมามากกว่า 10 วันพอรับเสด็จไปถึงค่ายโพธิ์สามต้นก็สวรรคต
จบแล้วนะครับ
สำหรับบทความเรื่องพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา
ผมได้รวบรวมจากหนังสือสี่เล่มคือ
1.เกร็ดพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา พิมพ์ครั้งที่สี่ โดยลำจุล ฮวบเจริญ
2.อยุธยา ประวัติศาสตร์และการเมือง พิมพ์ครั้งที่สี่ โดยชาญวิทย์ เกษตรศิริ
3.บัลลังก์เลือดกษัตริย์กรุงศรี พิมพ์ครั้งที่สอง โดยแสงเทียน ศรัทธาไทย
4.พระประวัติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระนิพนธ์สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
โดยการรวบรวมจะเน้นความกระชับ
รายละเอียดอาจไม่มากพอ แต่ได้ใจความ ผมไม่คัดลอกมาทั้งดุ้น แต่จะคัดเอาตอนที่น่าสนใจและจะแทรกเนื้อหาใหม่ ๆ ที่ได้เจอมาเข้าไปเพิ่มเติม ศักราชผมใช้ฉบับหลวงประเสริฐ
และสอบศักราชเป็นบางรัชกาลที่ไม่ชัดเจน แต่ไม่เป็นบทสรุปนะครับ
เพราะศักราชไม่ค่อยตรงกันอยู่แล้วในพงศาวดาร
เวลาติดขัดผมก็จะเข้าไปดูที่เว็บวิกิพีเดียสารานุกรมเสรี
ขอขอบคุณหนังสือทั้งสี่เล่มและวิกิพีเดียสารานุกรมเสรีมากครับ และขอบคุณสำหรับการติดตามครับ
ก่อนจากกันขอฝากเพลง อยุธยาเมืองเก่า เพื่อรำลึกถึงกรุงศรีอยุธยา
อยุธยา เมืองเก่าของเราแต่ก่อน
จิตใจอาวรณ์ มาเล่า สู่กันฟัง
อยุธยา แต่ก่อน นี้ยัง
เป็นดังเมืองทอง ของพี่น้อง เผ่าพงศ์ไทย
เดี๋ยวนี้ ซิเป็นเป็นเมืองเก่า
ชาวไทยแสนเศร้า ถูกข้าศึกรุกราน
ชาวไทย ทุกคนหัวใจร้าวราน
ข้าศึกเผาผลาญ แหลกราญ วอดวาย
เราชน ชั้นหลังฟังแล้วเศร้าใจ
อนุสรณ์ เตือนให้ ชาวไทยคงมั่น
สมัครสมาน ร่วมใจกันสามัคคี
คงจะไม่มี ใครกล้า ราวีชาติไทย
เนื้อเพลงโดยหม่อมหลวงขาบ กุลชร ณ.อยุธยา