วันอังคารที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

สมเด็จพระเพทราชา

 สมเด็จพระเพทราชา (พ.ศ.2231-2246)
     พระเพทราชาทรงเป็นต้นราชวงศ์บ้านพลูหลวง เสด็จขึ้นครองราชย์ขณะมีพระชนมายุได้ 56 พรรษา หลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แล้วโปรดให้  

พระเพทราชา

     เจ้าฟ้าศรีสุวรรณ (บางฉบับเรียกศรีสุพรรณ) กรมหลวงโยธาทิพ หรือ พระราชกัลยาณี เป็นพระอัครมเหสีฝ่ายขวา
     กรมหลวงโยธาเทพ พระราชธิดาของสมเด็จพระนารายณ์ เป็นพระอัครมเหสีฝ่ายซ้าย
     พระอัครมเหสีพระราชทาน (ธิดาพญาแสนหลวง) เป็นพระอัครมเหสีกลาง
     ทรงตั้งนายจบคชประสิทธิศิลป์ทรงบาศขวาในกรมช้างซึ่งเป็นคู่คิดเอาราชสมบัติด้วยนั้น เป็นกรมพระราชวังบวรสถานภิมุขฝ่ายพระราชวังหลัง
     นายกรินทคชประสิทธิ์ทรงบาศซ้าย ซึ่งเป็นพระราชนัดดาเป็นเจ้าราชนิกุล ชื่อเจ้าพระพิไชยสุรินทร์
     กบฏธรรมเถียร
     ธรรมเถียร ข้าหลวงเดิมของเจ้าฟ้าอภัยทศ (พระอนุชาพระนารายณ์) ปลอมตัวโดยติดไฝที่ใบหน้า ทำให้มองดูคล้ายกับว่าเจ้าฟ้าอภัยทศ ซึ่งถูกนำตัวไปสำเร็จโทษ ณ วัดซาก แขวงเมืองลพบุรีนั้นหาตายไม่ ทำให้มีคนเชื่อถือและรวบรวมสมัครพรรคพวกได้จำนวนมาก แล้วยกเป็นกองทัพเข้ามาเพื่อชิงเอาราชสมบัติกลับคืน แต่ไม่สำเร็จ ถูกปราบราบคาบ
     ต่อมาเมืองนครราชสีมากับนครศรีธรรมราชไม่ยอมรับอำนาจของพระเพทราชา เพราะเห็นว่าพระเพทราชาขึ้นครองราชโดยไม่ชอบธรรมและ ตนเองเป็นเจ้าเมืองที่สถาปนาโดยพระนารายณ์ และสั่งให้เตรียมพร้อมรับศึกจากเมืองหลวง
     สมเด็จพระเพทราชารับสั่งให้พญาสีหราชเดโชเป็นแม่ทัพยกพลหมื่นเศษ ไปตีเมืองนครราชสีมาแต่ตีไม่ได้ ครั้งที่ 2 รับสั่งให้อัครมหาเสนาบดีให้เกณฑ์กองทัพขึ้นไปตีเมืองนครราชสีมาให้จงได้ และตีได้สำเร็จ แต่เจ้าเมืองหนีไปได้
     ทางด้านเมืองนครศรีธรรมราช พระยารามเดโช เจ้าเมืองได้ซ่องสุมผู้คนสรรพาวุธ เป็นจำนวนมาก แล้วจะตีหัวเมืองตะวันตกทั้งปวง เมื่อได้แล้วจะยกพลเข้ามาตีกรุงศรีอยุธยาต่อไป และเจ้าเมืองนครราชสีมาที่หนีไปได้พาพรรคพวกไปเข้าด้วย ทำให้ดูเป็นกองกำลังที่ค่อนข้างน่ากลัว
     สมเด็จพระเพทราชาทราบเหตุ จึงทรงพระพิโรธ รับสั่งให้พระยาสุรสงครามเป็นแม่ทัพหลวง ถือพล 10000 ทัพเรือให้พระยาราชบังสันถือพล 5000 เรือรบ 100 ลำ แล้วไปพร้อมทัพที่แขวงเมืองไชยา แล้วร่วมกันไปตีเอาเมืองนครศรีธรรมราชให้จงได้ การสงครามต่อสู้กันนานถึง 3 ปี ด้วยพระยารามเดโชเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชเป็นแม่ทัพที่ชำนาญการศึก รบพุ่งด้วยความเข้มแข็งถึงแม้กำลังพลจะน้อยกว่าก็ตาม
     ในที่สุดเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชตัดสินใจหนี โดยความช่วยเหลือของพระยาราชบังสันแม่ทัพเรือของอยุธยา เนื่องจากเคยรับราชการด้วยกันมาสมัยพระนารายณ์ เข้าข่าย (เพื่อนช่วยเพื่อน) โดยพาพล 50 นายตีฝ่าไปทางพระยาราชบังสันในเวลากลางคืนและหนีไปลงเรือที่พระยาราชบังสันเตรียมไว้ให้แล่นหนีไปยังเมืองแขก ทัพกรุงก็เข้าเมืองได้
     พระยาสุรสงครามแม่ทัพหลวงแคลงใจ สั่งให้สอบสวนหาความจริง ในที่สุดความจริงถูกเปิดเผยออกมา จึงมีหนังสือบอกเข้าไปยังกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระเพทราชามีดำรัสสั่งให้เอาตัวพระยาราชบังสันไปตระเวนประจาน 3 วันแล้วให้ประหารชีวิตเสีย
     ในรัชกาลสมเด็จพระเพทราชา โปรดให้สร้างพระมหาปราสาทขึ้นองค์หนึ่งในพระราชฐานชั้นใน พระราชทานนามว่าพระที่นั่งบรรยงก์รัตนาสน์ แล้วให้ขุดสระเป็นคู่อยู่ซ้ายขวาพระที่นั่งองค์นี้ และต่อมาได้ช้างเผือกเข้ามาสู่พระบารมีหนึ่งช้าง ทรงพระราชทานนามว่า พระอินทไอยราพตคชบดินทร์วรินทรเลิศฟ้า
     ทางด้านการค้าขายกับต่างประเทศ ได้ค้าขายกับชาวฮอลันดา
     ปี พ.ศ.2246 สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าพระขวัญ ในพระอัครมเหสีฝ่ายขวา กรมหลงโยทาทิพ มีพระชันษาครบ 13 ปี จึงทรงพระกรุณาให้จัดแจงการพระราชพิธีโสกันต์ ณ พระที่นั่งสรรเพชญปราสาท
     หลังพระราชพิธีโสกันต์แล้วไม่นาน สมเด็จพระเพทราชาทรงพระประชวรเล็กน้อยเพียง 15 วัน พระอาการก็ทรุดหนักลง เสวยพระกระยาหารไม่ได้เลย ใกล้จะสวรรคตอยู่แล้ว จึงได้ตั้งกองล้อมวงขึ้น พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ต่างเข้าไปนอนในพระราชฐานชั้นใน
     แต่กรมพระราชวังบวร (หลวงสรศักดิ์) ไม่ลงมาเฝ้า แต่กลับวางแผนคิดการร้ายต่อเจ้าพระขวัญ ซึ่งเป็นรัชทายาทสายตรง เพราะดำรงศักดิ์ชั้นเจ้าฟ้า โดยออกอุบายให้มหาดเล็กไปเชิญเสด็จเจ้าพระขวัญว่า มีพระบัณฑูรให้เชิญเสด็จไปเฝ้าทรงพระกรุณาจะให้ทรงม้าเทศให้ทอดพระเนตรสักหน่อยหนึ่ง จึงทูลลาสมเด็จพระมารดาเสด็จมาเฝ้ากรมพระราชวังบวร ณ พระตำหนักหนองหวาย เมื่อมาถึงกรมพระราชวังบวรมิให้พระพี่เลี้ยง และผู้ติดตามเข้ามาแล้วให้ปิดประตูกำแพงแก้วนั้นเสีย
     จึงให้จับเจ้าพระขวัญสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทร์ในพระตำหนักหนองหวาย เสร็จแล้วให้เอาพระศพใส่ถุงแล้วใส่ลงในแม่ขัน ให้ข้าหลวงเอาไปฝังเสีย ณ วัดโคกพระยา แล้วเสด็จกลับพระราชวังบวรสถานมงคล

     เมื่อเจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาทิพทราบเหตุการณ์ร้ายแล้ว ทรงเสียพระทัย ทรงพระกรรแสงถึงพระราชบุตรและเสด็จเข้าเฝ้าสมเด็จพระเพทราชาซึ่งทรงพระประชวรอยู่ แล้วกราบทูลว่า กรมพระราชวังบวรมาฆ่าลูกข้าพเจ้าโดยหาความผิดไม่ได้ เมื่อสมเด็จพระเพทราชาทรงทราบก็ตกพระทัยอาลัยในพระราชโอรส ทรงพระพิโรธแก่กรมพระราชวังบวรเป็นอย่างมาก จึงมีพระราชดำรัสว่ากูไม่ให้ราชสมบัติแก่อ้ายสามคนพ่อลูกนี้แล้ว แล้วมีพระราชดำรัสให้เจ้าพระพิชัยสุรินทร์ราชนัดดา ขึ้นมาเฝ้าบนพระที่นั่งบรรยงก์รัตนาสน์ ซึ่งเสด็จทรงพระประชวรอยู่นั้น แล้วทรงพระกรุณาเวนราชสมบัติ ให้แก่เจ้าพระพิไชยสุรินทร์ แล้วสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็เสด็จสวรรคต พระชนมายุได้ 71 พรรษา ครองราชย์นาน 15 ปี

(ขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

กรมหลวงโยธาเทพ

กรมหลวงโยธาเทพ ภายหลังออกพระนามว่า สมเด็จพระรูปเจ้า มีพระนามเดิมว่า พระสุดาเทวี (คำให้การชาวกรุงเก่า) หรือ เจ้าฟ้าสุดาวดี (พ.ศ. 2199—2278) เ...