สมเด็จพระเพทราชา (พ.ศ.2231-2246)
พระเพทราชาทรงเป็นต้นราชวงศ์บ้านพลูหลวง
เสด็จขึ้นครองราชย์ขณะมีพระชนมายุได้ 56 พรรษา
หลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แล้วโปรดให้
![]() |
พระเพทราชา |
เจ้าฟ้าศรีสุวรรณ
(บางฉบับเรียกศรีสุพรรณ) กรมหลวงโยธาทิพ หรือ พระราชกัลยาณี เป็นพระอัครมเหสีฝ่ายขวา
กรมหลวงโยธาเทพ
พระราชธิดาของสมเด็จพระนารายณ์ เป็นพระอัครมเหสีฝ่ายซ้าย
พระอัครมเหสีพระราชทาน
(ธิดาพญาแสนหลวง) เป็นพระอัครมเหสีกลาง
ทรงตั้งนายจบคชประสิทธิศิลป์ทรงบาศขวาในกรมช้างซึ่งเป็นคู่คิดเอาราชสมบัติด้วยนั้น
เป็นกรมพระราชวังบวรสถานภิมุขฝ่ายพระราชวังหลัง
นายกรินทคชประสิทธิ์ทรงบาศซ้าย
ซึ่งเป็นพระราชนัดดาเป็นเจ้าราชนิกุล ชื่อเจ้าพระพิไชยสุรินทร์
กบฏธรรมเถียร
ธรรมเถียร
ข้าหลวงเดิมของเจ้าฟ้าอภัยทศ (พระอนุชาพระนารายณ์) ปลอมตัวโดยติดไฝที่ใบหน้า ทำให้มองดูคล้ายกับว่าเจ้าฟ้าอภัยทศ
ซึ่งถูกนำตัวไปสำเร็จโทษ ณ วัดซาก แขวงเมืองลพบุรีนั้นหาตายไม่
ทำให้มีคนเชื่อถือและรวบรวมสมัครพรรคพวกได้จำนวนมาก
แล้วยกเป็นกองทัพเข้ามาเพื่อชิงเอาราชสมบัติกลับคืน แต่ไม่สำเร็จ ถูกปราบราบคาบ
ต่อมาเมืองนครราชสีมากับนครศรีธรรมราชไม่ยอมรับอำนาจของพระเพทราชา
เพราะเห็นว่าพระเพทราชาขึ้นครองราชโดยไม่ชอบธรรมและ ตนเองเป็นเจ้าเมืองที่สถาปนาโดยพระนารายณ์
และสั่งให้เตรียมพร้อมรับศึกจากเมืองหลวง
สมเด็จพระเพทราชารับสั่งให้พญาสีหราชเดโชเป็นแม่ทัพยกพลหมื่นเศษ
ไปตีเมืองนครราชสีมาแต่ตีไม่ได้ ครั้งที่ 2
รับสั่งให้อัครมหาเสนาบดีให้เกณฑ์กองทัพขึ้นไปตีเมืองนครราชสีมาให้จงได้
และตีได้สำเร็จ แต่เจ้าเมืองหนีไปได้
ทางด้านเมืองนครศรีธรรมราช
พระยารามเดโช เจ้าเมืองได้ซ่องสุมผู้คนสรรพาวุธ เป็นจำนวนมาก
แล้วจะตีหัวเมืองตะวันตกทั้งปวง เมื่อได้แล้วจะยกพลเข้ามาตีกรุงศรีอยุธยาต่อไป
และเจ้าเมืองนครราชสีมาที่หนีไปได้พาพรรคพวกไปเข้าด้วย
ทำให้ดูเป็นกองกำลังที่ค่อนข้างน่ากลัว
สมเด็จพระเพทราชาทราบเหตุ
จึงทรงพระพิโรธ รับสั่งให้พระยาสุรสงครามเป็นแม่ทัพหลวง ถือพล 10000 ทัพเรือให้พระยาราชบังสันถือพล 5000 เรือรบ 100 ลำ แล้วไปพร้อมทัพที่แขวงเมืองไชยา
แล้วร่วมกันไปตีเอาเมืองนครศรีธรรมราชให้จงได้ การสงครามต่อสู้กันนานถึง 3 ปี ด้วยพระยารามเดโชเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชเป็นแม่ทัพที่ชำนาญการศึก รบพุ่งด้วยความเข้มแข็งถึงแม้กำลังพลจะน้อยกว่าก็ตาม
ในที่สุดเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชตัดสินใจหนี
โดยความช่วยเหลือของพระยาราชบังสันแม่ทัพเรือของอยุธยา
เนื่องจากเคยรับราชการด้วยกันมาสมัยพระนารายณ์ เข้าข่าย (เพื่อนช่วยเพื่อน)
โดยพาพล 50 นายตีฝ่าไปทางพระยาราชบังสันในเวลากลางคืนและหนีไปลงเรือที่พระยาราชบังสันเตรียมไว้ให้แล่นหนีไปยังเมืองแขก
ทัพกรุงก็เข้าเมืองได้
พระยาสุรสงครามแม่ทัพหลวงแคลงใจ สั่งให้สอบสวนหาความจริง
ในที่สุดความจริงถูกเปิดเผยออกมา จึงมีหนังสือบอกเข้าไปยังกรุงศรีอยุธยา
สมเด็จพระเพทราชามีดำรัสสั่งให้เอาตัวพระยาราชบังสันไปตระเวนประจาน 3 วันแล้วให้ประหารชีวิตเสีย
ในรัชกาลสมเด็จพระเพทราชา
โปรดให้สร้างพระมหาปราสาทขึ้นองค์หนึ่งในพระราชฐานชั้นใน
พระราชทานนามว่าพระที่นั่งบรรยงก์รัตนาสน์
แล้วให้ขุดสระเป็นคู่อยู่ซ้ายขวาพระที่นั่งองค์นี้ และต่อมาได้ช้างเผือกเข้ามาสู่พระบารมีหนึ่งช้าง
ทรงพระราชทานนามว่า พระอินทไอยราพตคชบดินทร์วรินทรเลิศฟ้า
ทางด้านการค้าขายกับต่างประเทศ ได้ค้าขายกับชาวฮอลันดา
ปี พ.ศ.2246 สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าพระขวัญ
ในพระอัครมเหสีฝ่ายขวา กรมหลงโยทาทิพ มีพระชันษาครบ 13 ปี
จึงทรงพระกรุณาให้จัดแจงการพระราชพิธีโสกันต์ ณ พระที่นั่งสรรเพชญปราสาท
หลังพระราชพิธีโสกันต์แล้วไม่นาน
สมเด็จพระเพทราชาทรงพระประชวรเล็กน้อยเพียง 15 วัน
พระอาการก็ทรุดหนักลง เสวยพระกระยาหารไม่ได้เลย ใกล้จะสวรรคตอยู่แล้ว
จึงได้ตั้งกองล้อมวงขึ้น พระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่
ต่างเข้าไปนอนในพระราชฐานชั้นใน
แต่กรมพระราชวังบวร (หลวงสรศักดิ์) ไม่ลงมาเฝ้า
แต่กลับวางแผนคิดการร้ายต่อเจ้าพระขวัญ ซึ่งเป็นรัชทายาทสายตรง
เพราะดำรงศักดิ์ชั้นเจ้าฟ้า โดยออกอุบายให้มหาดเล็กไปเชิญเสด็จเจ้าพระขวัญว่า มีพระบัณฑูรให้เชิญเสด็จไปเฝ้าทรงพระกรุณาจะให้ทรงม้าเทศให้ทอดพระเนตรสักหน่อยหนึ่ง
จึงทูลลาสมเด็จพระมารดาเสด็จมาเฝ้ากรมพระราชวังบวร ณ พระตำหนักหนองหวาย
เมื่อมาถึงกรมพระราชวังบวรมิให้พระพี่เลี้ยง
และผู้ติดตามเข้ามาแล้วให้ปิดประตูกำแพงแก้วนั้นเสีย
จึงให้จับเจ้าพระขวัญสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทร์ในพระตำหนักหนองหวาย
เสร็จแล้วให้เอาพระศพใส่ถุงแล้วใส่ลงในแม่ขัน ให้ข้าหลวงเอาไปฝังเสีย ณ
วัดโคกพระยา แล้วเสด็จกลับพระราชวังบวรสถานมงคล
เมื่อเจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาทิพทราบเหตุการณ์ร้ายแล้ว
ทรงเสียพระทัย
ทรงพระกรรแสงถึงพระราชบุตรและเสด็จเข้าเฝ้าสมเด็จพระเพทราชาซึ่งทรงพระประชวรอยู่
แล้วกราบทูลว่า กรมพระราชวังบวรมาฆ่าลูกข้าพเจ้าโดยหาความผิดไม่ได้ เมื่อสมเด็จพระเพทราชาทรงทราบก็ตกพระทัยอาลัยในพระราชโอรส
ทรงพระพิโรธแก่กรมพระราชวังบวรเป็นอย่างมาก จึงมีพระราชดำรัสว่ากูไม่ให้ราชสมบัติแก่อ้ายสามคนพ่อลูกนี้แล้ว
แล้วมีพระราชดำรัสให้เจ้าพระพิชัยสุรินทร์ราชนัดดา
ขึ้นมาเฝ้าบนพระที่นั่งบรรยงก์รัตนาสน์ ซึ่งเสด็จทรงพระประชวรอยู่นั้น
แล้วทรงพระกรุณาเวนราชสมบัติ ให้แก่เจ้าพระพิไชยสุรินทร์
แล้วสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็เสด็จสวรรคต พระชนมายุได้ 71 พรรษา ครองราชย์นาน 15 ปี
(ขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)
(ขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น