สมเด็จพระนเรศวรหรือสมเด็จพระสรรเพชญที่
2 เสด็จขึ้นครองราชย์ขณะมีพระชนพรรษาได้ 35 พรรษา
พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์นักรบ ทรงมีความรู้ความสามารถและเชี่ยวชาญในการศึก
ทรงมีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวเป็นอย่างมาก และทรงถนัดการใช้อาวุธหลัก ๆ ทุกชนิด ตลอดจนการทรงช้างหรือม้าในการต่อสู้
ก็ทรงใช้ได้อย่างเยี่ยมยอด ทรงฉายแววในการกู้ชาติตั้งแต่อยู่พม่า กล่าวคือ เมื่อมีการตีไก่กันระหว่างสมเด็จพระนเรเศวรกับพระมหาอุปราชา
พระมหาอุปราชาตรัสว่า “ไก่เชลยตัวนี้เก่งจริงหนอ” สมเด็จพระนเรศวรได้ยินดังนั้น
จึงตรัสตอบว่า “ไก่เชลยตัวนี้
อย่าว่าแต่จะตีกันอย่างกีฬาในวังเหมือนอย่างวันนี้เลย ตีพนันบ้านเมืองกันก็ยังได้”
ย้อนเหตุการณ์ไปในปี พ.ศ.2128 ในสมัยพระมหาธรรมราชา
(ซึ่งไทยได้ประกาศอิสรภาพแล้ว) พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรง
รับสั่งให้พระมหาอุปราชาคุมกองทัพ 50000 เข้ามาตั้งอยู่ที่เมืองกำแพงเพชร
ให้ไพร่พลทำนาตามท้องทุ่งในหัวเมืองเหนือ เพื่อเป็นเสบียงซึ่งพระเจ้าหงสาวดีจะเสด็จยกทัพใหญ่มาเองในฤดูแล้ง
ระหว่างนั้นพระเจ้าเชียงใหม่
ซึ่งทางกรุงหงสาวดีได้ให้นำกำลังพล 60000 และทัพหน้าราว 15000
ยกทัพลงมากรุงศรีอยุธยาแต่ถูกทัพของสมเด็จพระนเรศวรตีแตกพ่ายไป
ถึงปี พ.ศ.2129
พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรง ยกกองทัพหลวงมาทางด่านแม่สอด มาประชุมทัพที่กำแพงเพชร
จำนวนพล 250000 ประกอบด้วยทัพหลวงคือพระเจ้าหงสาวดี
ทัพพระมหาอุปราชา และทัพพระเจ้าตองอู ส่วนทัพพระเจ้าเชียงใหม่ดูแลด้านเสบียง และทัพทั้งหมดเดินทางต่อจนมาถึงกรุงศรีอยุธยา
การสงครามครั้งนี้ทางพม่าไม่สามารถเอาชนะไทยได้
ด้วยสมเด็จพระนเรศวรทรงบัญชาการรบได้อย่างเข้มแข็งเด็ดขาด
วีรกรรมที่สำคัญเช่นทรงคาบพระแสงดาบเข้าปล้นค่ายพระเจ้าหงสาวดี
และแทงลักไวทำมูตายด้วยพระแสงทวน
พระเจ้าหงสาวดี ล้อมกรุงมาจนถึง พ.ศ.2130
เห็นว่าใกล้ฤดูฝน รี้พลก็ล้มตายไปมาก จึงมีรับสั่งให้ถอยทัพ
ต่อมาทางพม่าเมื่อทราบข่าวว่ามีการผลัดแผ่นดิน
พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงจึงมีรับสั่งให้พระมหาอุปราชา คุมกองทัพจำนวนพล 200000 โดยให้พระยาพสิม กับ พระยาพุกาม เป็นกองหน้า ยกออกจากกรุงหงสาวดี พ.ศ.2133 เข้ามาทางด่านพระเจดีย์สามองค์ ใช้เวลา 15
วันก็ถึงกรุงศรีอยุธยา
สมเด็จพระนเรศวรทรงใช้อุบาย ให้กองทัพพม่าเข้ามาติดกับ
และรบพุ่งกันถึงขั้นตะลุมบอน การรบครั้งนี้ทหารพม่าถูกฆ่าตายเป็นอันมาก
พระยาพุกามตายในที่รบ จับเป็นพระยาพสิมได้ และกองทัพหลวงพระมหาอุปราชาแตกทัพหนี กองทัพไทยเกือบจับพระมหาอุปราชาได้
สงครามยุทธหัตถี
ถึงปี พ.ศ.2135 พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงมีรับสั่งให้จัดกองทัพสามเมือง คือ
1 กองทัพเมืองหงสาวดี
ให้เจ้าเมืองจาปะโร เป็นทัพหน้า ให้พระมหาอุปราชาเป็นกองทัพหลวง
2 กองทัพเมืองแปร
ให้พระเจ้าแปรเป็นกองทัพหนุน
3 กองทัพเมืองตองอู
ให้นัตจินหน่อง บุตรพระเจ้าตองอูเป็นทัพสมทบ
รวม 3 ทัพ จำนวนพล 240000 และมีรับสั่งให้พระเจ้า
เชียงใหม่ยกกองทัพมาสมทบด้วย
หนังสือไทยรบพม่ากล่าวว่า
กองทัพหลวงโดยสมเด็จพระนเรศวรกับสมเด็จพระเอกาทศรถ
เสด็จโดยกระบวนเรือพระที่นั่งจากพระนคร ไปทำพิธีตัดไม้ข่มนามที่ทุ่งลุมพลี
แล้วเสด็จไปยังที่ตั้งทัพไชย ณ ตำบลมะม่วงหวาน ประทับแรมจัดกระบวนทัพอยู่ 3
ราตรี แล้วเสด็จยกกองทัพหลวงมีจำนวนพล 100000 ออกจากทุ่งป่าโมก
ไปเมืองสุพรรณบุรีทางบ้านสามโก้ แล้วข้ามลำน้ำสุพรรณที่ท่าท้าวอู่ทอง
ไปถึงค่ายหลวงที่ หนองสาหร่าย ริมลำน้ำท่าคอย
ฝ่ายพระมหาอุปราชายกกองทัพเข้ามาทางด่านพระเจดีย์
3 องค์ มาหยุดทัพที่ตำบลตระพังกรุ
แขวงเมืองสุพรรณบุรี กองทัพทั้งสองพบกันที่บ้านหนองสาหร่าย
การทำยุทธหัตถี มีการบันทึกไว้ว่า
ช้างพระที่นั่งของสมเด็จพระนเรศวรกับช้างพระที่นั่งของสมเด็จพระเอกาทศรถเกิดตกมัน
พาสมเด็จพระนเรศวรกับพระเอกาทศรถเข้าไปในกลางหมู่ข้าศึก
มีแต่จตุลังคบาทกับทหารรักษาพระองค์ตามติดไป ทัพอื่นตามไม่ทัน
สมเด็จพระนเรศวรทอดพระเนตรเห็นพระมหาอุปราชา
จึงขับช้างพระที่นั่งเข้าไปหาแล้วร้องตรัสไปว่า “เจ้าพี่
จะยืนช้างอยู่ในร่มไม้ทำไม เชิญเสด็จมาทำยุทธหัตถีกันให้เป็นเกียรติยศเถิด
กษัตริย์ภายหน้าที่จะชนช้างได้อย่างเราจะไม่มีแล้ว”
พระมหาอุปราชาได้ยินดังนั้นจึงไสพลายพัทธกอขับตรงออกมาชนกับเจ้าพระยาไชยานุภาพช้างทรงของสมเด็จพระนเรศวร
ฝ่ายเจ้าพระยาไชยานุภาพเห็นช้างศึกตรงออกมาจึงเข้าโถมแทงทันที
ทำให้พลายพัทธกอได้ล่างแบกรุนเจ้าพระยาไชยานุภาพเบนจะขวางตัว
พระมหาอุปราชาได้ทีจึงฟันด้วยพระแสงของ้าว แต่สมเด็จพระนเรศวรเบี่ยงพระองค์หลบทัน ถูกแต่ถูกชายพระมาลาหนังบิ่นไป
พอเจ้าพระยาไชยานุภาพสะบัดหลุดแล้วกลับชนได้ล่างแบกถนัด รุนเอาพลายพัทกอ หันเบนไป
สมเด็จพระนเรศวรก็จ้วงฟันด้วยพระแสงของ้าวถูกพระมหาอุปราชาที่ไหล่ขวาขาด
ซบสิ้นพระชนม์อยู่กับคอช้าง ส่วนสมเด็จพระเอกาทศรถได้ชนช้างกับเจ้าเมืองจาปะโร
และฟันเจ้าเมืองจาปะโรตายเหมือนกัน ทางทัพพม่าจึงได้เลิกทัพกลับ
ต่อมา พ.ศ. 2135 ได้เมืองทะวาย กับเมืองตะนาวศรี คืนจากพม่า พ.ศ.2136 ทำพิธีเฉลิมพระราชมนเทียร เสด็จไปประทับในพระราชวังหลวง
แล้วโปรดให้ตั้งหัวเมืองเหนืออย่างเดิมหลังจากปล่อยทิ้งร้างอยู่ 8 ปี
ปลายปี พ.ศ.2136 สมเด็จพระนเรศวรมีรับสั่งให้เกณฑ์พลเมืองนครนายก
เมืองปราจีน เมืองฉะเชิงเทรา และ เมืองสระบุรี เข้าเป็นกองทัพ ให้พระยานครนายกเป็นนายพล
ยกไปตั้งค่ายปลูกยุ้งฉางรวบรวมเสบียงอาหารเตรียมไว้ทัพหนึ่ง
เพื่อเตรียมตีเมืองเขมร เนื่องจากทัพเขมรชอบแต่งกองทัพเข้ามาเที่ยวปล้นทรัพย์
จับคนในเมืองไทยทางแขวงเมืองปราจีนฯไปเป็นเชลย ยามเมื่อไทยมีสงครามติดพันกับพม่าอยู่เสมอ
ทางใต้ทรงมีรับสั่งให้เกณฑ์หัวเมืองปักษ์ใต้ตั้งแต่เมืองสงขลาขึ้นมาจนเมืองเพชรบุรีเป็นกองทัพเรือ
ให้พระยาเพชรบุรีเป็นนายพลคุมเรือลำเลียงเสบียงอาหารไปขึ้นที่เมืองป่าสักในแดนเขมรทัพหนึ่ง
ปี พ.ศ.2138 สมเด็จพระนเรศวรเสด็จยกทัพหลวงพร้อมด้วยสมเด็จพระเอกาทศรถออกจากพระนครเพื่อไปตีเขมร
โปรดให้พระราชมนูเป็นทัพหน้า ให้พระยาราชวังสันเป็นนายพลคุมทัพเรือไปตีเมืองบันทายมาศ
ทัพบกให้เจ้าพระยานครราชสีมาเกณฑ์พลในเมืองนั้นยกไปทางเมืองเสียมราฐ ตรัสสั่งให้กองทัพพระยานครนายก
เข้าสมทบในกองทัพหลวง
กองทัพไทยยกลงไปถึงพระตระบอง
ตีได้เมืองพระตระบอง ตีได้เมืองโพธิสัตว์ ตีได้เมืองบริบูรณ์ซึ่งเป็นเมืองใหญ่
พระศรีสุพรรณมาธิราช อนุชานักพระสัฏฐา ซึ่งรักษาเมืองอยู่หนีไปเมืองละแวกได้
กองทัพไทยจึงเดินทางต่อไปถึงเมืองละแวก
สมเด็จพระนเรศวรก็ตรัสสั่งให้เข้าตั้งประชิดติดเมืองทุกด้าน
ในที่สุดกองทัพไทยก็ตีเขมรแตก
ได้ตัวนักพระสัฏฐาและพระศรีสุพรรณมาธิราช ให้ประหารนักพระสัฏฐา
และนำพระศรีสุพรรณมาธิราชกลับกรุงศรีอยุธยา พร้อมกวาดต้อนเชลยศึกกลับมาด้วย
ต่อมาพระยาศรีไสยณรงค์เจ้าเมืองตะนาวศรีเป็นกบฏ จึงโปรดให้สมเด็จพระเอกาทศรถยกลงไปปราบ
แต่พระยาศรีไสยณรงค์มิได้ต่อสู้ จึงถูกจับ แต่เนื่องด้วยปิดประตูเมืองไม่ออกมาเข้าเฝ้า
และเกณฑ์คนขึ้นรักษาเชิงเทิน จึงมีความผิด
สมเด็จพระนเรศวรมีรับสั่งให้ประหารชีวิตเสียที่เมืองตะนาวศรี
สมเด็จพระนเรศวรได้ยกทัพไปตีกรุงหงสาวดี
ในสมัยพระเจ้านันทบุเรง 2 ครั้ง ครั้งแรก พ.ศ. 2138 โดยยกพลไป 120000
ล้อมเมืองหงสาวดีอยู่ 3 เดือน แต่ตีไม่ได้ เนื่องจากทัพเมืองแปร ตองอู อังวะ
ยกทัพมาช่วย พระองค์จึงกวาดต้อนครัวหงสาวดีมาเป็นเชลยเป็นอันมาก
ครั้งที่ 2 พ.ศ.2142 แต่กลับเจอเมืองร้างที่ถูกพวกยะไข่ที่แต่งเป็นกองโจรเผากรุงหงสาวดีทิ้ง
และนัตจินหน่องเจ้าเมืองตองอูพาพระเจ้านันทบุเรงหนีไปที่เมืองตองอู สมเด็จพระนเรศวรได้ยกทัพตามไปถึงเมืองตองอูและล้อมอยู่
2 เดือนไม่สามารถตีเมืองตองอูได้ เนื่องจากชัยภูมิดี ประกอบกับฝนตกชุก
และกองทัพขาดเสบียง จึงโปรดให้ยกกองทัพกลับ
ต่อมาไทยได้เชียงใหม่ แสนหวีเป็นประเทศราช
พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงถูกลอบวางยาพิษที่เมืองตองอูจนสิ้นพระชนม์ แล้วแผ่นดินพม่าจึงแตกออกเป็นสามก๊ก
คือ
1.พระเจ้าตองอู
2.พระเจ้าแปร
3.พระเจ้าอังวะ เข้มแข็งที่สุด พระเจ้าแผ่นดินคือ
พระเจ้าสีหสุธรรมราชา จึงคิดขยายอาณาเขตไปทางไทยใหญ่ก่อน
และตีได้เมืองเมืองไทยใหญ่ (19เจ้าฟ้า) ได้โดยลำดับ และตีจนถึงเมืองหน่าย
เมืองแสนหวีที่ขึ้นกับไทย
สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงทราบก็ขัดเคือง
มีดำรัสสั่งให้เกณฑ์รี้พลจำนวน 100000 เข้ากองทัพแล้วจะเสด็จไปตีพม่าที่อังวะ
โดยจะเสด็จไปทางเชียงใหม่แล้วข้ามแม่น้ำสาละวินที่เมืองหาง ผ่านแคว้นไทยใหญ่เข้าไปพม่าคือเมืองอังวะ
และจะเกณฑ์เอาทัพมอญกับทัพเชียงใหม่เข้าสมทบ จำนวนพลเบ็ดเสร็จราว 200000
สมเด็จพระนเรศวรกับสมเด็จพระเอกทศรถ
เสด็จออกจากกรุงศรีอยุธยา พ.ศ.2148 เสด็จถึงเชียงใหม่หยุดพักจัดกระบวนทัพ 1 เดือน
แล้วให้กองทัพสมเด็จพระเอกาทศรถยกไปทางเมืองฝาง ส่วนกองทัพหลวงยกไปทางเมืองหาง
ครั้นเสด็จถึงเมืองหางแล้ว
ตั้งค่ายหลวงประทับอยู่ที่ทุ่งแก้ว สมเด็จพระนเรศวรประชวรเป็น ละลอก
ขึ้นที่พระพักตร์ แล้วกลายเป็นบาดทะพิษพระอาการหนัก จึงโปรดให้ข้าหลวงรีบไปเชิญเสด็จสมเด็จพระเอกาทศรถมาเฝ้า
สมเด็จพระเอกาทศรถเสด็จมาถึงได้ 3 วัน สมเด็จพระนเรศวรก็สวรรคตที่เมืองหาง
พ.ศ. 2148 พระชันษา 50 ปี เสวยราชสมบัติได้ 15 ปี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น