วันพุธที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

สมเด็จพระนเรศวรมหาราช



สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาพจากวิกิพีเดีย

สมเด็จพระนเรศวรมหาราช (พ.ศ.
2133-2148)
     สมเด็จพระนเรศวรหรือสมเด็จพระสรรเพชญที่ 2 เสด็จขึ้นครองราชย์ขณะมีพระชนพรรษาได้ 35 พรรษา พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์นักรบ ทรงมีความรู้ความสามารถและเชี่ยวชาญในการศึก ทรงมีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวเป็นอย่างมาก และทรงถนัดการใช้อาวุธหลัก ๆ ทุกชนิด ตลอดจนการทรงช้างหรือม้าในการต่อสู้ ก็ทรงใช้ได้อย่างเยี่ยมยอด ทรงฉายแววในการกู้ชาติตั้งแต่อยู่พม่า กล่าวคือ เมื่อมีการตีไก่กันระหว่างสมเด็จพระนเรเศวรกับพระมหาอุปราชา พระมหาอุปราชาตรัสว่า “ไก่เชลยตัวนี้เก่งจริงหนอ” สมเด็จพระนเรศวรได้ยินดังนั้น จึงตรัสตอบว่า “ไก่เชลยตัวนี้ อย่าว่าแต่จะตีกันอย่างกีฬาในวังเหมือนอย่างวันนี้เลย ตีพนันบ้านเมืองกันก็ยังได้”
     ย้อนเหตุการณ์ไปในปี พ.ศ.2128 ในสมัยพระมหาธรรมราชา (ซึ่งไทยได้ประกาศอิสรภาพแล้ว) พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรง รับสั่งให้พระมหาอุปราชาคุมกองทัพ 50000 เข้ามาตั้งอยู่ที่เมืองกำแพงเพชร ให้ไพร่พลทำนาตามท้องทุ่งในหัวเมืองเหนือ เพื่อเป็นเสบียงซึ่งพระเจ้าหงสาวดีจะเสด็จยกทัพใหญ่มาเองในฤดูแล้ง
     ระหว่างนั้นพระเจ้าเชียงใหม่ ซึ่งทางกรุงหงสาวดีได้ให้นำกำลังพล 60000 และทัพหน้าราว 15000 ยกทัพลงมากรุงศรีอยุธยาแต่ถูกทัพของสมเด็จพระนเรศวรตีแตกพ่ายไป
     ถึงปี พ.ศ.2129 พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรง ยกกองทัพหลวงมาทางด่านแม่สอด มาประชุมทัพที่กำแพงเพชร จำนวนพล 250000 ประกอบด้วยทัพหลวงคือพระเจ้าหงสาวดี ทัพพระมหาอุปราชา และทัพพระเจ้าตองอู ส่วนทัพพระเจ้าเชียงใหม่ดูแลด้านเสบียง และทัพทั้งหมดเดินทางต่อจนมาถึงกรุงศรีอยุธยา
     การสงครามครั้งนี้ทางพม่าไม่สามารถเอาชนะไทยได้ ด้วยสมเด็จพระนเรศวรทรงบัญชาการรบได้อย่างเข้มแข็งเด็ดขาด วีรกรรมที่สำคัญเช่นทรงคาบพระแสงดาบเข้าปล้นค่ายพระเจ้าหงสาวดี และแทงลักไวทำมูตายด้วยพระแสงทวน
     พระเจ้าหงสาวดี ล้อมกรุงมาจนถึง พ.ศ.2130 เห็นว่าใกล้ฤดูฝน รี้พลก็ล้มตายไปมาก จึงมีรับสั่งให้ถอยทัพ
     ต่อมาทางพม่าเมื่อทราบข่าวว่ามีการผลัดแผ่นดิน พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงจึงมีรับสั่งให้พระมหาอุปราชา คุมกองทัพจำนวนพล 200000 โดยให้พระยาพสิม กับ พระยาพุกาม เป็นกองหน้า ยกออกจากกรุงหงสาวดี พ.ศ.2133 เข้ามาทางด่านพระเจดีย์สามองค์ ใช้เวลา 15 วันก็ถึงกรุงศรีอยุธยา
     สมเด็จพระนเรศวรทรงใช้อุบาย ให้กองทัพพม่าเข้ามาติดกับ และรบพุ่งกันถึงขั้นตะลุมบอน การรบครั้งนี้ทหารพม่าถูกฆ่าตายเป็นอันมาก พระยาพุกามตายในที่รบ จับเป็นพระยาพสิมได้ และกองทัพหลวงพระมหาอุปราชาแตกทัพหนี กองทัพไทยเกือบจับพระมหาอุปราชาได้

     สงครามยุทธหัตถี
     ถึงปี พ.ศ.2135 พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงมีรับสั่งให้จัดกองทัพสามเมือง คือ
      1 กองทัพเมืองหงสาวดี ให้เจ้าเมืองจาปะโร เป็นทัพหน้า ให้พระมหาอุปราชาเป็นกองทัพหลวง
      2 กองทัพเมืองแปร ให้พระเจ้าแปรเป็นกองทัพหนุน
      3 กองทัพเมืองตองอู ให้นัตจินหน่อง บุตรพระเจ้าตองอูเป็นทัพสมทบ
     รวม 3 ทัพ จำนวนพล 240000 และมีรับสั่งให้พระเจ้า
     เชียงใหม่ยกกองทัพมาสมทบด้วย

หนังสือไทยรบพม่ากล่าวว่า
     กองทัพหลวงโดยสมเด็จพระนเรศวรกับสมเด็จพระเอกาทศรถ เสด็จโดยกระบวนเรือพระที่นั่งจากพระนคร ไปทำพิธีตัดไม้ข่มนามที่ทุ่งลุมพลี แล้วเสด็จไปยังที่ตั้งทัพไชย ณ ตำบลมะม่วงหวาน ประทับแรมจัดกระบวนทัพอยู่ 3 ราตรี แล้วเสด็จยกกองทัพหลวงมีจำนวนพล 100000 ออกจากทุ่งป่าโมก ไปเมืองสุพรรณบุรีทางบ้านสามโก้ แล้วข้ามลำน้ำสุพรรณที่ท่าท้าวอู่ทอง ไปถึงค่ายหลวงที่ หนองสาหร่าย ริมลำน้ำท่าคอย
     ฝ่ายพระมหาอุปราชายกกองทัพเข้ามาทางด่านพระเจดีย์ 3 องค์  มาหยุดทัพที่ตำบลตระพังกรุ แขวงเมืองสุพรรณบุรี กองทัพทั้งสองพบกันที่บ้านหนองสาหร่าย
     การทำยุทธหัตถี มีการบันทึกไว้ว่า ช้างพระที่นั่งของสมเด็จพระนเรศวรกับช้างพระที่นั่งของสมเด็จพระเอกาทศรถเกิดตกมัน พาสมเด็จพระนเรศวรกับพระเอกาทศรถเข้าไปในกลางหมู่ข้าศึก มีแต่จตุลังคบาทกับทหารรักษาพระองค์ตามติดไป ทัพอื่นตามไม่ทัน
     สมเด็จพระนเรศวรทอดพระเนตรเห็นพระมหาอุปราชา จึงขับช้างพระที่นั่งเข้าไปหาแล้วร้องตรัสไปว่า “เจ้าพี่ จะยืนช้างอยู่ในร่มไม้ทำไม เชิญเสด็จมาทำยุทธหัตถีกันให้เป็นเกียรติยศเถิด กษัตริย์ภายหน้าที่จะชนช้างได้อย่างเราจะไม่มีแล้ว” พระมหาอุปราชาได้ยินดังนั้นจึงไสพลายพัทธกอขับตรงออกมาชนกับเจ้าพระยาไชยานุภาพช้างทรงของสมเด็จพระนเรศวร
     ฝ่ายเจ้าพระยาไชยานุภาพเห็นช้างศึกตรงออกมาจึงเข้าโถมแทงทันที ทำให้พลายพัทธกอได้ล่างแบกรุนเจ้าพระยาไชยานุภาพเบนจะขวางตัว พระมหาอุปราชาได้ทีจึงฟันด้วยพระแสงของ้าว แต่สมเด็จพระนเรศวรเบี่ยงพระองค์หลบทัน ถูกแต่ถูกชายพระมาลาหนังบิ่นไป พอเจ้าพระยาไชยานุภาพสะบัดหลุดแล้วกลับชนได้ล่างแบกถนัด รุนเอาพลายพัทกอ หันเบนไป สมเด็จพระนเรศวรก็จ้วงฟันด้วยพระแสงของ้าวถูกพระมหาอุปราชาที่ไหล่ขวาขาด ซบสิ้นพระชนม์อยู่กับคอช้าง ส่วนสมเด็จพระเอกาทศรถได้ชนช้างกับเจ้าเมืองจาปะโร และฟันเจ้าเมืองจาปะโรตายเหมือนกัน ทางทัพพม่าจึงได้เลิกทัพกลับ
     ต่อมา พ.ศ. 2135 ได้เมืองทะวาย กับเมืองตะนาวศรี คืนจากพม่า พ.ศ.2136 ทำพิธีเฉลิมพระราชมนเทียร เสด็จไปประทับในพระราชวังหลวง แล้วโปรดให้ตั้งหัวเมืองเหนืออย่างเดิมหลังจากปล่อยทิ้งร้างอยู่ 8 ปี
     ปลายปี พ.ศ.2136 สมเด็จพระนเรศวรมีรับสั่งให้เกณฑ์พลเมืองนครนายก เมืองปราจีน เมืองฉะเชิงเทรา และ เมืองสระบุรี เข้าเป็นกองทัพ ให้พระยานครนายกเป็นนายพล ยกไปตั้งค่ายปลูกยุ้งฉางรวบรวมเสบียงอาหารเตรียมไว้ทัพหนึ่ง เพื่อเตรียมตีเมืองเขมร เนื่องจากทัพเขมรชอบแต่งกองทัพเข้ามาเที่ยวปล้นทรัพย์ จับคนในเมืองไทยทางแขวงเมืองปราจีนฯไปเป็นเชลย ยามเมื่อไทยมีสงครามติดพันกับพม่าอยู่เสมอ
     ทางใต้ทรงมีรับสั่งให้เกณฑ์หัวเมืองปักษ์ใต้ตั้งแต่เมืองสงขลาขึ้นมาจนเมืองเพชรบุรีเป็นกองทัพเรือ ให้พระยาเพชรบุรีเป็นนายพลคุมเรือลำเลียงเสบียงอาหารไปขึ้นที่เมืองป่าสักในแดนเขมรทัพหนึ่ง
     ปี พ.ศ.2138 สมเด็จพระนเรศวรเสด็จยกทัพหลวงพร้อมด้วยสมเด็จพระเอกาทศรถออกจากพระนครเพื่อไปตีเขมร โปรดให้พระราชมนูเป็นทัพหน้า ให้พระยาราชวังสันเป็นนายพลคุมทัพเรือไปตีเมืองบันทายมาศ ทัพบกให้เจ้าพระยานครราชสีมาเกณฑ์พลในเมืองนั้นยกไปทางเมืองเสียมราฐ ตรัสสั่งให้กองทัพพระยานครนายก เข้าสมทบในกองทัพหลวง
     กองทัพไทยยกลงไปถึงพระตระบอง ตีได้เมืองพระตระบอง ตีได้เมืองโพธิสัตว์ ตีได้เมืองบริบูรณ์ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ พระศรีสุพรรณมาธิราช อนุชานักพระสัฏฐา ซึ่งรักษาเมืองอยู่หนีไปเมืองละแวกได้ กองทัพไทยจึงเดินทางต่อไปถึงเมืองละแวก สมเด็จพระนเรศวรก็ตรัสสั่งให้เข้าตั้งประชิดติดเมืองทุกด้าน
     ในที่สุดกองทัพไทยก็ตีเขมรแตก ได้ตัวนักพระสัฏฐาและพระศรีสุพรรณมาธิราช ให้ประหารนักพระสัฏฐา และนำพระศรีสุพรรณมาธิราชกลับกรุงศรีอยุธยา พร้อมกวาดต้อนเชลยศึกกลับมาด้วย
     ต่อมาพระยาศรีไสยณรงค์เจ้าเมืองตะนาวศรีเป็นกบฏ จึงโปรดให้สมเด็จพระเอกาทศรถยกลงไปปราบ แต่พระยาศรีไสยณรงค์มิได้ต่อสู้ จึงถูกจับ แต่เนื่องด้วยปิดประตูเมืองไม่ออกมาเข้าเฝ้า และเกณฑ์คนขึ้นรักษาเชิงเทิน จึงมีความผิด สมเด็จพระนเรศวรมีรับสั่งให้ประหารชีวิตเสียที่เมืองตะนาวศรี
     สมเด็จพระนเรศวรได้ยกทัพไปตีกรุงหงสาวดี ในสมัยพระเจ้านันทบุเรง 2 ครั้ง ครั้งแรก พ.ศ. 2138 โดยยกพลไป 120000 ล้อมเมืองหงสาวดีอยู่ 3 เดือน แต่ตีไม่ได้ เนื่องจากทัพเมืองแปร ตองอู อังวะ ยกทัพมาช่วย พระองค์จึงกวาดต้อนครัวหงสาวดีมาเป็นเชลยเป็นอันมาก
     ครั้งที่ 2 พ.ศ.2142 แต่กลับเจอเมืองร้างที่ถูกพวกยะไข่ที่แต่งเป็นกองโจรเผากรุงหงสาวดีทิ้ง และนัตจินหน่องเจ้าเมืองตองอูพาพระเจ้านันทบุเรงหนีไปที่เมืองตองอู สมเด็จพระนเรศวรได้ยกทัพตามไปถึงเมืองตองอูและล้อมอยู่ 2 เดือนไม่สามารถตีเมืองตองอูได้ เนื่องจากชัยภูมิดี ประกอบกับฝนตกชุก และกองทัพขาดเสบียง จึงโปรดให้ยกกองทัพกลับ
     ต่อมาไทยได้เชียงใหม่ แสนหวีเป็นประเทศราช พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงถูกลอบวางยาพิษที่เมืองตองอูจนสิ้นพระชนม์ แล้วแผ่นดินพม่าจึงแตกออกเป็นสามก๊ก คือ
     1.พระเจ้าตองอู
     2.พระเจ้าแปร
     3.พระเจ้าอังวะ เข้มแข็งที่สุด พระเจ้าแผ่นดินคือ พระเจ้าสีหสุธรรมราชา จึงคิดขยายอาณาเขตไปทางไทยใหญ่ก่อน และตีได้เมืองเมืองไทยใหญ่ (19เจ้าฟ้า) ได้โดยลำดับ และตีจนถึงเมืองหน่าย เมืองแสนหวีที่ขึ้นกับไทย
     สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงทราบก็ขัดเคือง มีดำรัสสั่งให้เกณฑ์รี้พลจำนวน 100000 เข้ากองทัพแล้วจะเสด็จไปตีพม่าที่อังวะ โดยจะเสด็จไปทางเชียงใหม่แล้วข้ามแม่น้ำสาละวินที่เมืองหาง ผ่านแคว้นไทยใหญ่เข้าไปพม่าคือเมืองอังวะ และจะเกณฑ์เอาทัพมอญกับทัพเชียงใหม่เข้าสมทบ จำนวนพลเบ็ดเสร็จราว 200000
     สมเด็จพระนเรศวรกับสมเด็จพระเอกทศรถ เสด็จออกจากกรุงศรีอยุธยา พ.ศ.2148 เสด็จถึงเชียงใหม่หยุดพักจัดกระบวนทัพ 1 เดือน แล้วให้กองทัพสมเด็จพระเอกาทศรถยกไปทางเมืองฝาง ส่วนกองทัพหลวงยกไปทางเมืองหาง
     ครั้นเสด็จถึงเมืองหางแล้ว ตั้งค่ายหลวงประทับอยู่ที่ทุ่งแก้ว สมเด็จพระนเรศวรประชวรเป็น ละลอก ขึ้นที่พระพักตร์ แล้วกลายเป็นบาดทะพิษพระอาการหนัก จึงโปรดให้ข้าหลวงรีบไปเชิญเสด็จสมเด็จพระเอกาทศรถมาเฝ้า

     สมเด็จพระเอกาทศรถเสด็จมาถึงได้ 3 วัน สมเด็จพระนเรศวรก็สวรรคตที่เมืองหาง พ.ศ. 2148 พระชันษา 50 ปี เสวยราชสมบัติได้ 15 ปี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

กรมหลวงโยธาเทพ

กรมหลวงโยธาเทพ ภายหลังออกพระนามว่า สมเด็จพระรูปเจ้า มีพระนามเดิมว่า พระสุดาเทวี (คำให้การชาวกรุงเก่า) หรือ เจ้าฟ้าสุดาวดี (พ.ศ. 2199—2278) เ...