สมเด็จพระมหาธรรมราชา
(พ.ศ.2112-2133)
สมเด็จพระมหาธรรมราชาหรือสมเด็จพระสรรเพชรที่
1 ขึ้นครองราชย์เมื่อปี พ.ศ.2112 หลังจากเสียกรุงศรีอยุธยาให้แก่พม่าครั้งที่
1 ขณะมีพระชนมายุ 54 พรรษา
สมเด็จพระมหาธรรมราชา เสด็จพระราชสมภพ พ.ศ.2058 ในรัชกาลสมเด็จพระรามาธิบดีที่
2 หรือพระเชษฐา พระราชบิดาเป็นเชื้อพระวงศ์สมเด็จพระร่วงแห่งกรุงสุโขทัย
พระราชมารดาเป็นพระญาติฝ่ายพระชนนี ของสมเด็จพระไชยราชาธิราช
ทรงมีพระราชโอรส และ พระราชธิดา
อันเกิดแต่พระมเหสี รวม 3 พระองค์
1. พระสุพรรณกัลยา หรือ
พระสุวรรณเทวี (ตามพงศาวดารพม่า)
2. สมเด็จพระนเรศวร
3. สมเด็จพระเอกาทศรถ
ปี พ.ศ.2114
ทรงโปรดเกล้าฯให้สมเด็จพระนเรศวร พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ ดำรงตำแหน่งพระมหาอุปราช เสด็จขึ้นไปครองเมืองพิษณุโลก
ขณะมีพระชนมายุ 16 พรรษา
สมเด็จพระนเรศวรจะเสด็จไปมาระหว่าง เมืองพิษณุโลก
กับ กรุงศรีอยุธยาอยู่เสมอ ดังนั้นจึงทรงสร้างที่ประทับในกรุงศรีอยุธยาขึ้น คือ
วังจันทร์เกษม
ทางฝั่งพม่าพระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองสวรรคตเมื่อ พ.ศ.2124 ทางเมืองลุม
เมืองคัง (เป็นกลุ่มชนไทยใหญ่)ไม่มาเข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใหม่ ตามประเพณี
พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรง
มีรับสั่งให้ทางกรุงศรีอยุธยา ยกกองทัพขึ้นไปช่วยปราบเมืองลุม เมืองคัง
สมเด็จพระนเรศวรจึงรับอาสาพระราชบิดายกกองทัพขึ้นไปช่วย
กองทัพที่อาสาไปปราบเมืองลุมเมืองคัง
ประกอบด้วย กองทัพพระมหาอุปราชามังกะยอชวา กองทัพพระสังขทัต และ กองทัพสมเด็จพระนเรศวร เมื่อไปถึงเมืองลุม
เมืองคัง จึงประชุมกัน และมีมติให้ กองทัพพระมหาอุปราชาเข้าตีก่อน กองทัพพระสังขทัตเข้าตีเป็นลำดับถัดมา
สมเด็จพระนเรศวรเข้าตีเป็นลำดับสุดท้าย โดยเปลี่ยนการเข้าตีกองทัพละวัน
กองทัพพระมหาอุปราชากับกองทัพพระสังขทัตไม่สามารถเข้าตีเมืองคังได้
เพราะโจมตีด้านหน้าด้านเดียว จึงถูกกองทัพเมืองลุมเมืองคังเอาหินกลิ้งใส่
เนื่องจากเมืองเป็นเขาสูง จึงต้องถอยทัพกลับลงมา
ส่วนพระนเรศวรเอาเวลาสองวันแรกมาศึกษาภูมิประเทศของเมืองลุม
เมืองคัง เมื่อถึงวันที่สามจึงยกกองทัพส่วนน้อยหลอกว่าจะเข้าโจมตีทางด้านหน้า แต่ยกกองทัพส่วนใหญ่เข้าโจมตีทางด้านที่เป็นจุดอ่อนจึงเข้าเมืองลุม
เมืองคังได้อย่างง่ายดาย และจับเจ้าเมืองทั้งสองกลับไปถวายพระเจ้าหงสาวดี
แล้วเสด็จกลับกรุงศรีอยุธยา
ต่อมาพระเจ้าอังวะแข็งเมือง
พระเจ้านันทบุเรงจึงเกณฑ์เจ้าเมืองประเทศราชยกกองทัพขึ้นไปช่วย ขณะเดียวกันได้วางแผนกำจัดสมเด็จพระนเรศวรด้วย
เมื่อทางไทยได้รับใบบอกจากกรุงหงสาวดี
สมเด็จพระนเรศวรจึงรับอาสาพระราชบิดาอีกครั้ง
กองทัพสมเด็จพระนเรศวรเสด็จไปถึงเมืองแครง
จึงเสด็จไปเยี่ยมนมัสการพระมหาเถรคันฉ่องผู้เป็นพระอาจารย์
พระมหาเถรคันฉ่องกราบทูลว่า พระยาเกียรติ และพระยาราม
ขุนนางชั้นผู้ใหญ่เชื้อสายมอญ บอกว่า ทางหงสาวดีคิดไม่ซื่อกับพระองค์
เมื่อทรงไปถึงหงสาวดีแล้วจะถูกลอบปลงพระชนม์
สมเด็จพระนเรศวรจึงกวาดต้อนผู้คนชาวมอญ ทั้งนิมนต์พระมหาเถรคันฉ่อง และพาพระยาเกียรติ
พระยาราม กลับกรุงศรีอยุธยาทันที
ก่อนเสด็จพระราชดำเนินกลับ
พระองค์ทรงกระทำพิธีหลั่งอุทกธาราลงเหนือเมืองแครง แล้วประกาศอิสรภาพไม่ขึ้นกับกรุงหงสาวดีอีกต่อไป
(ปีพ.ศ.2127)
สมเด็จพระมหาอุปราชาซึ่งรักษาเมืองอยู่ทราบว่า
สมเด็จพระนเรศวรไม่ขึ้นมาช่วยรบกรุงอังวะ และกลับกรุงศรีอยุธยาแล้ว
จึงมีรับสั่งให้ สุรกรรมายกทัพตามมา มาทันกันที่แม่น้ำสะโตง แต่สมเด็จพระนเรศวร
และ ครอบครัวชาวมอญได้ข้ามฝั่งมาหมดแล้ว สมเด็จพระนเรศวรจึงทรงพระแสงปืนต้นข้ามแม่น้ำสะโตง ถูกสุรกรรมาแม่ทัพพม่าตายซบอยู่กับคอช้าง ทัพพม่าจึงยกทัพกลับ
เมื่อเสด็จกลับกรุงศรีอยุธยาแล้ว
โปรดให้พระมหาเถรคันฉ่องพักจำพรรษาอยู่ที่วัดมหาธาตุ พระยาเกียรติ พระยาราม
และชาวมอญโปรดให้ตั้งบ้านเรือนที่ตำบลบ้านขมิ้น วัดขุนแสน ภายในเกาะกรุงศรีอยุธยา
สมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชสวรรคตปีพ.ศ. 2133 อยู่ในราชสมบัติ
21 ปี พระชนมพรรษา 75 พรรษา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น